latest news
ระบบไฟฟ้าเปรียบเสมือนเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงทุกกิจกรรมภายในบ้าน การทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชิ้นล้วนต้องพึ่งพาสายไฟคุณภาพสูงที่ติดตั้งอย่างถูกวิธี การเลือกใช้สายไฟที่ผิดประเภทหรือไม่ได้มาตรฐานจึงเป็นความเสี่ยงร้ายแรงที่อาจนำไปสู่เหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ไฟฟ้าลัดวงจรหรืออัคคีภัย บทความนี้ Fuhrer ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสายไฟฟ้าคุณภาพสูง จะพาไปทำความเข้าใจมาตรฐานสายไฟบ้านอย่างละเอียด เพื่อให้คุณสามารถเลือกสายไฟได้ถูกต้อง ปลอดภัย เหมาะสมกับการใช้งาน และมั่นใจได้ในทุกจุดของบ้าน
ทำไมการเลือกสายไฟบ้านถึงสำคัญ
การใส่ใจในรายละเอียดตั้งแต่การเลือกสายไฟ คือรากฐานสำคัญของระบบไฟฟ้าที่มั่นคงและปลอดภัย การเลือกที่ถูกต้องส่งผลดีในหลายมิติมากกว่าที่คิด ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ความปลอดภัยไปจนถึงประสิทธิภาพในระยะยาว
- ความปลอดภัยมาเป็นอันดับหนึ่ง หัวใจหลักของการเลือกสายไฟคือความปลอดภัย สายไฟฟ้าที่ไม่ได้มาตรฐานหรือมีขนาดเล็กเกินกว่าปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่าน จะเกิดความร้อนสะสมสูงจนฉนวนหุ้มละลาย และเป็นสาเหตุหลักของไฟฟ้าลัดวงจรซึ่งอาจลุกลามเป็นอัคคีภัยสร้างความเสียหายใหญ่หลวงต่อชีวิตและทรัพย์สิน การเลือกสายไฟที่ได้มาตรฐานสายไฟบ้านจึงเป็นการป้องกันปัญหาจากต้นเหตุ
- ประสิทธิภาพการส่งกำลังไฟฟ้า สายไฟที่มีคุณภาพและขนาดที่เหมาะสม จะช่วยลดการสูญเสียแรงดันไฟฟ้าในสาย (Voltage Drop) ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าได้รับกระแสไฟฟ้าเต็มประสิทธิภาพ ทำงานได้ดีตามปกติ ไม่เกิดอาการไฟตกหรือไฟกระชากที่อาจทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เสียหาย และยังช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าในทางอ้อมอีกด้วย
- ความทนทานในระยะยาว บ้านหนึ่งหลังถูกออกแบบมาเพื่อการอยู่อาศัยที่ยาวนาน ระบบไฟฟ้าก็เช่นกัน การเลือกชนิดของสายไฟให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมการติดตั้ง เช่น การเดินสายในท่อร้อยสาย การเดินสายเกาะผนัง หรือการฝังดิน จะทำให้สายไฟมีความทนทานต่อปัจจัยต่างๆ ทั้งความร้อน ความชื้น และแรงกระแทก ยืดอายุการใช้งานของระบบไฟฟ้าโดยรวม ลดภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง
- เป็นไปตามข้อกำหนดกฎหมาย การติดตั้งระบบไฟฟ้าในปัจจุบันมีมาตรฐานควบคุมชัดเจนโดยการไฟฟ้าฯ และสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) การเลือกใช้สายไฟที่ผ่านมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) จึงเป็นการรับประกันว่าการติดตั้งนั้นถูกต้องตามหลักวิศวกรรมและข้อกฎหมาย สร้างความมั่นใจให้กับผู้อยู่อาศัย
รู้จักมาตรฐานสายไฟบ้านตาม มอก. 11-2559
เพื่อให้การติดตั้งและซ่อมบำรุงระบบไฟฟ้าเป็นไปในทิศทางเดียวกันและปลอดภัยสูงสุด สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) จึงได้กำหนดมาตรฐาน มอก. 11-2559 สำหรับสายไฟขึ้นมา ซึ่งถือเป็นมาตรฐานบังคับที่ผู้ผลิตและผู้ใช้งานทุกคนต้องปฏิบัติตาม โดยมีรายละเอียดสำคัญที่ควรรู้ดังนี้
มาตรฐานสีของสายไฟ
การกำหนดสีของฉนวนหุ้มสายไฟมีจุดประสงค์เพื่อให้ช่างไฟฟ้าสามารถระบุหน้าที่ของสายแต่ละเส้นได้อย่างถูกต้อง ลดความผิดพลาดในการต่อวงจร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญด้านความปลอดภัย โดยมาตรฐานสีใหม่มีดังนี้
- สายเฟส (L) หรือสายมีไฟ ทำหน้าที่นำกระแสไฟฟ้าเข้าสู่วงจร ในระบบไฟฟ้า 1 เฟส จะใช้เพียงเส้นเดียว แต่ในระบบ 3 เฟส จะมี 3 เส้น ประกอบด้วย
- L1: สีน้ำตาล
- L2: สีดำ
- L3: สีเทา
- สายนิวทรัล (N) หรือสายศูนย์ ทำหน้าที่ทำให้กระแสไฟฟ้าไหลครบวงจร โดยตามทฤษฎีแล้วจะไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน (ยกเว้นกรณีโหลดไม่สมดุลในระบบ 3 เฟส) ถูกกำหนดให้เป็น สีฟ้า
- สายดิน (G) หรือสายกราวด์ เป็นสายที่เชื่อมต่อกับหลักดิน เพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้ารั่ว โดยจะนำกระแสไฟฟ้าที่รั่วไหลลงสู่พื้นดิน ถูกกำหนดให้เป็น สีเขียวแถบเหลือง
ขนาดของสายไฟที่ควรรู้จัก
ขนาดของสายไฟจะถูกระบุด้วยพื้นที่หน้าตัดของตัวนำทองแดง มีหน่วยเป็น “ตารางมิลลิเมตร” (sq.mm. หรือ mm²) การเลือกขนาดที่ถูกต้องเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้สายไฟสามารถรองรับปริมาณกระแสไฟฟ้าได้อย่างปลอดภัย โดยขนาดที่ใช้บ่อยในบ้านพักอาศัยมีดังนี้
- สายไฟ 1.5 sq.mm. เป็นขนาดมาตรฐานสำหรับวงจรแสงสว่าง เหมาะสำหรับจ่ายไฟให้กับหลอดไฟ โคมไฟ หรือพัดลมเพดาน ที่ใช้กระแสไฟฟ้าไม่สูงนัก
- สายไฟ 2.5 sq.mm. เป็นขนาดมาตรฐานสำหรับวงจรเต้ารับไฟฟ้าทั่วไป ใช้สำหรับจ่ายไฟให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ในบ้าน เช่น โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ ตู้เย็น พัดลมตั้งพื้น หรือปลั๊กพ่วง
- ขนาดอื่น ๆ ที่ใหญ่ขึ้น สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องการกำลังไฟสูงและใช้กระแสไฟฟ้าปริมาณมาก จำเป็นต้องใช้สายไฟขนาดใหญ่ขึ้นและแยกวงจรเฉพาะ เช่น
- เครื่องปรับอากาศ: ใช้สายขนาด 4.0 – 6.0 sq.mm. (ขึ้นอยู่กับขนาด BTU)
- เครื่องทำน้ำอุ่น/น้ำร้อน: ใช้สายขนาด 4.0 – 6.0 sq.mm. (ขึ้นอยู่กับกำลังวัตต์)
- สายเมนเข้าบ้าน: ใช้สายขนาด 10 – 25 sq.mm. (ขึ้นอยู่กับขนาดมิเตอร์ไฟฟ้า)
ชนิดของสายไฟมาตรฐานใหม่ มีอะไรบ้าง
นอกเหนือจากสีและขนาดแล้ว มาตรฐานสายไฟบ้านยังครอบคลุมถึงชนิดของสายไฟ ซึ่งแต่ละชนิดถูกออกแบบมาเพื่องานติดตั้งที่แตกต่างกัน การเลือกใช้ชนิดของสายไฟมาตรฐานใหม่ให้ถูกประเภทจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
สาย THW (60227 IEC 01)
สาย THW เป็นสายไฟฟ้าแกนเดี่ยว ตัวนำเป็นทองแดงและหุ้มด้วยฉนวน PVC ชั้นเดียว มีลักษณะเป็นสายเส้นเดี่ยวที่มีความแข็งแต่ก็ดัดโค้งได้ เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไปที่ต้องการความทนทานต่อกระแสไฟฟ้าสูง การใช้งานที่ถูกต้องของสาย THW คือต้องเดินร้อยในท่อร้อยสายไฟเท่านั้น เช่น ท่อ PVC สีเหลือง (สำหรับภายในอาคาร) หรือท่อโลหะ เพื่อป้องกันฉนวนจากการขีดข่วนหรือกระแทกเสียหาย ห้ามนำไปฝังดินโดยตรงหรือตีกิ๊บเกาะผนังเด็ดขาด
สาย VAF (VAF/VAF-G)
สาย VAF คือสายไฟที่คนทั่วไปคุ้นเคยกันดีที่สุดในลักษณะสายแบนสีขาว มีทั้งแบบ 2 แกน (ไม่มีสายดิน) และ 3 แกน (VAF-G ซึ่งมีสายดิน) ถูกออกแบบมาเพื่องานเดินสายไฟฟ้าภายในอาคารที่พักอาศัยโดยเฉพาะ วิธีการติดตั้งที่ถูกต้องคือการเดินลอยในอากาศโดยใช้กิ๊บรัดสาย (ตีกิ๊บ) เกาะไปตามผนังหรือเพดานในบริเวณที่แห้งและพ้นมือเอื้อมถึง ข้อควรระวังสำคัญคือ ห้ามร้อยสาย VAF ในท่อร้อยสายไฟ เพราะเป็นสายแบน ทำให้ระบายความร้อนได้ไม่ดี และห้ามนำไปฝังดินโดยตรง
สาย VCT (VCT/VCT-G)
สาย VCT เป็นสายไฟฟ้าชนิดกลม มีทั้งแบบหลายแกน (Multi-Core) และมีฉนวนหุ้ม 2 ชั้น ทำให้มีความอ่อนตัวและทนทานต่อแรงสั่นสะเทือนได้ดีเยี่ยม เหมาะสำหรับการใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่การต่อเข้ากับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องมีการเคลื่อนที่บ่อยครั้ง เช่น สว่านไฟฟ้า ปั๊มน้ำ ไปจนถึงการเดินสายในรางไฟฟ้า (Wireway) ร้อยท่อฝังในผนัง หรือแม้กระทั่งร้อยท่อฝังดินก็ได้ ด้วยความแข็งแรงของฉนวน 2 ชั้น ทำให้ สาย VCT เป็นหนึ่งในสายไฟที่ใช้งานได้อเนกประสงค์และปลอดภัยสูง
สาย NYY (NYY/NYY-G)
สาย NYY เป็นสายไฟฟ้าชนิดกลมที่มีความแข็งแรงทนทานสูงสุดในกลุ่มสายแรงดันต่ำ มีฉนวนหุ้ม 2 ชั้นและเปลือกนอกที่หนาเป็นพิเศษ ทำให้ทนทานต่อสภาพแวดล้อม ความชื้น และแรงกระแทกได้ดีเยี่ยม การใช้งานหลักของ สาย NYY คือการเดินสายเมนจากมิเตอร์ไฟฟ้าเข้าสู่ตู้ควบคุมไฟฟ้าในบ้าน (Consumer Unit) รวมถึงงานที่ต้องการความทนทานสูง เช่น การร้อยท่อฝังดิน หรือแม้กระทั่งการฝังลงดินโดยตรงในบางกรณี

วิธีเลือกสายไฟบ้านให้เหมาะสมและปลอดภัย
เมื่อเข้าใจถึงมาตรฐานและชนิดของสายไฟแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำความรู้มาประยุกต์ใช้เพื่อเลือdสายไฟให้ถูกต้องตามมาตรฐานสายไฟบ้าน ซึ่งมีหลักการพิจารณาง่ายๆ ดังนี้
เลือกขนาดสายไฟให้เหมาะกับโหลดไฟฟ้า
หลักการพื้นฐานที่สุดคือ “สายใหญ่ รับโหลดได้เยอะ” การคำนวณที่แม่นยำต้องทำโดยวิศวกร แต่สำหรับบ้านพักอาศัยทั่วไป เราสามารถอ้างอิงขนาดมาตรฐานสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละประเภทได้ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น
| ประเภทการใช้งาน / เครื่องใช้ไฟฟ้า | พิกัดกระแส (โดยประมาณ) | ขนาดสายไฟที่แนะนำ (sq.mm.) |
| วงจรแสงสว่าง (หลอดไฟ, โคมไฟ) | 1 – 5 A | 1.5 |
| วงจรเต้ารับทั่วไป (ทีวี, พัดลม) | 5 – 10 A | 2.5 |
| เครื่องปรับอากาศ 9,000-12,000 BTU | 10 – 15 A | 4.0 |
| เครื่องปรับอากาศ 18,000-24,000 BTU | 15 – 20 A | 6.0 |
| เครื่องทำน้ำอุ่น 3,500 – 4,500 W | 16 – 21 A | 4.0 |
| เตาไฟฟ้า / ปั๊มน้ำขนาดใหญ่ | > 20 A | 6.0 ขึ้นไป |
หมายเหตุ: ตารางนี้เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น ควรติดตั้งโดยช่างผู้ชำนาญการ
เลือกชนิดสายไฟให้เหมาะกับสถานที่ติดตั้ง
หลังจากได้ขนาดที่เหมาะสมแล้ว ต้องเลือกชนิดของสายไฟให้ถูกกับลักษณะการติดตั้ง
- เดินตีกิ๊บเกาะผนังภายใน เลือกใช้ สาย VAF
- เดินร้อยท่อภายใน/ภายนอกอาคาร เลือกใช้ สาย THW
- ต่อเข้าเครื่องจักร/อุปกรณ์ที่เคลื่อนที่ เลือกใช้ สาย VCT
- เดินสายเมน, ร้อยท่อฝังดิน หรือฝังดินโดยตรง เลือกใช้ สาย NYY หรือ สาย VCT (สำหรับร้อยท่อฝังดิน)
ตรวจสอบมาตรฐาน มอก. ทุกครั้งก่อนซื้อ
สิ่งที่จะยืนยันคุณภาพและความปลอดภัยของสายไฟได้ดีที่สุดคือเครื่องหมาย มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ที่ประทับอยู่บนฉนวนของสายไฟ ควบคู่ไปกับข้อมูลสำคัญอื่นๆ เช่น ชื่อผู้ผลิต ชนิดของสายไฟ ขนาดพื้นที่หน้าตัด และพิกัดแรงดันไฟฟ้า ก่อนตัดสินใจซื้อ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าสายไฟมีเครื่องหมาย มอก. 11-2559 ที่ชัดเจนและมาจากผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือ
ข้อควรระวังที่ไม่ควรมองข้าม
เพื่อความปลอดภัยสูงสุดในการติดตั้งและใช้งานระบบไฟฟ้า มีข้อควรระวังเพิ่มเติมที่ผู้ใช้งานและเจ้าของบ้านไม่ควรมองขาง
- ห้ามใช้สายไฟผิดประเภท การนำสายไฟที่ออกแบบมาสำหรับงานภายในไปใช้ภายนอก หรือนำสายที่ห้ามร้อยท่อไปใช้งานในท่อ จะทำให้สายไฟเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติและอาจก่อให้เกิดอันตรายได้
- อย่าเลือกสายไฟขนาดเล็กเกินไปสำหรับโหลดหนัก แม้จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในตอนแรก แต่การใช้สายไฟขนาดเล็กเกินไป (Undersized) กับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟมาก จะทำให้เกิดความร้อนสูง เสี่ยงต่อการเกิดเพลิงไหม้ และยังทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
- ปรึกษาช่างไฟฟ้าผู้เชี่ยวชาญหากไม่มั่นใจ ระบบไฟฟ้าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยโดยตรง หากไม่มีความรู้ความชำนาญ การจ้างช่างไฟฟ้าที่มีใบอนุญาตและประสบการณ์มาดำเนินการติดตั้งหรือให้คำปรึกษา คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดเพื่อความปลอดภัยของทุกคนในบ้าน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับมาตรฐานสายไฟบ้าน
สายไฟ 1.5 กับ 2.5 ต่างกันยังไง
สายไฟ 1.5 sq.mm. และ 2.5 sq.mm. แตกต่างกันที่ “ขนาดพื้นที่หน้าตัดของตัวนำทองแดง” ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อ “ความสามารถในการรองรับกระแสไฟฟ้า” โดยสาย 2.5 sq.mm. มีขนาดใหญ่กว่า จึงรองรับกระแสไฟฟ้าได้สูงกว่าสาย 1.5 sq.mm. ตามมาตรฐานสายไฟบ้านจึงนิยมใช้สาย 1.5 สำหรับวงจรแสงสว่างที่ใช้กระแสน้อย และใช้สาย 2.5 สำหรับวงจรเต้ารับที่อาจมีการต่อพ่วงเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชนิด
สายไฟเมนที่เดินเข้าบ้านควรใช้สายอะไร
สายไฟเมนคือสายที่เชื่อมต่อจากมิเตอร์ของการไฟฟ้าฯ มายังตู้ควบคุมไฟฟ้าหลักในบ้าน (Consumer Unit) ซึ่งต้องรองรับกระแสไฟฟ้าของทั้งบ้าน จึงต้องมีความแข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ ชนิดของสายไฟที่นิยมใช้คือ สาย NYY หรือ สาย THW ที่เดินในท่อร้อยสาย ส่วนขนาดจะขึ้นอยู่กับขนาดมิเตอร์ไฟฟ้า เช่น มิเตอร์ขนาด 15(45)A ควรใช้สายเมนขนาดไม่ต่ำกว่า 16 sq.mm.
มาตรฐานการเดินสายไฟเข้าบ้านมีอะไรบ้าง
มาตรฐานการเดินสายไฟเข้าบ้านครอบคลุมหลายส่วนนอกเหนือจากการเลือกสายไฟ ได้แก่ การติดตั้งตู้ Consumer Unit ที่มีเซอร์กิตเบรกเกอร์ครบถ้วน, การติดตั้งระบบสายดินที่ถูกต้องตามหลักวิศวกรรม (หลักดินต้องมีความต้านทานไม่เกิน 5 โอห์ม), การแยกวงจรสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟสูง, และการใช้ท่อร้อยสายไฟที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม ซึ่งทั้งหมดนี้ควรดำเนินการโดยช่างไฟฟ้าผู้ชำนาญการเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสายไฟบ้านและความปลอดภัยสูงสุด

สรุปบทความ
การเลือกสายไฟไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม เพราะมันคือพื้นฐานของความปลอดภัยในที่อยู่อาศัย การตัดสินใจที่ถูกต้องต้องคำนึงถึง 3 ปัจจัยหลักเสมอ คือ ขนาด ที่เหมาะสมกับปริมาณการใช้ไฟฟ้า, ชนิด ที่ถูกต้องตามลักษณะการติดตั้ง, และ มาตรฐาน มอก. ที่รับรองคุณภาพและความปลอดภัย ท้ายที่สุดแล้ว การปรึกษาและเลือกใช้บริการจากช่างไฟฟ้าผู้ชำนาญการคือสิ่งที่จะสร้างความมั่นใจได้ดีที่สุด
สำหรับผู้รับเหมา เจ้าของโครงการ หรือผู้ประกอบการที่กำลังมองหาสายไฟฟ้าและสายเคเบิลคุณภาพสูงที่ได้มาตรฐานสากล Fuhrer ในฐานะผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสายไฟฟ้าที่ได้รับความไว้วางใจจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนชั้นนำมาอย่างยาวนาน อาทิ กฟภ., กฟน., และ EGAT พร้อมให้บริการด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษา เพื่อให้ทุกโครงการของคุณดำเนินไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยสูงสุด
ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ตั้งแต่สมาร์ตโฟนในมือไปจนถึงระบบไฟฟ้าขนาดใหญ่ในโรงงานอุตสาหกรรม มีคุณสมบัติพื้นฐานหนึ่งที่ทำงานอยู่เบื้องหลังเสมอ นั่นคือ “ความต้านทานไฟฟ้า” การทำความเข้าใจแนวคิดนี้อย่างลึกซึ้งไม่เพียงแต่จะช่วยให้เราใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และระบบไฟฟ้าต่างๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญของความปลอดภัยอีกด้วย วันนี้ Fuhrer ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสายไฟฟ้าและสายเคเบิลคุณภาพสูงที่ได้รับความไว้วางใจมายาวนาน จะมาอธิบายเรื่องนี้ให้เข้าใจอย่างละเอียดและชัดเจน
ความต้านทานไฟฟ้า คืออะไร?
ความต้านทานไฟฟ้า (Electrical Resistance) คือ คุณสมบัติของวัตถุที่ต้านทานหรือขัดขวางการไหลของกระแสไฟฟ้า ลองจินตนาการถึงท่อน้ำ ถ้าท่อมีขนาดใหญ่และไม่มีอะไรกีดขวาง น้ำ (เปรียบเสมือนกระแสไฟฟ้า) ก็จะไหลผ่านไปได้อย่างสะดวก แต่ถ้าท่อมีขนาดเล็กลงหรือมีสิ่งกีดขวางอยู่ภายใน น้ำก็จะไหลผ่านได้ยากขึ้น การกีดขวางนั้นก็คือความต้านทานนั่นเอง ในทางไฟฟ้า วัตถุที่ยอมให้ไฟฟ้าไหลผ่านได้ง่ายเรียกว่า ตัวนำ และวัตถุที่ไฟฟ้าไหลผ่านได้ยากมากเรียกว่า ฉนวน โดยค่าความต้านทานไฟฟ้ามีหน่วยวัดเป็น โอห์ม (Ohm) และใช้สัญลักษณ์เป็น Ω (โอเมก้า)
ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าความต้านทานไฟฟ้า
ค่าความต้านทานของวัตถุไม่ได้มีค่าคงที่เสมอไป แต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามคุณสมบัติทางกายภาพหลายประการ ซึ่งเป็นความรู้พื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งในการออกแบบวงจรไฟฟ้าและเลือกใช้สายไฟฟ้าให้เหมาะสมกับการใช้งาน ปัจจัยหลักที่ส่งผลโดยตรงต่อค่าความต้านทานมีดังนี้
ชนิดของวัสดุ (Material)
วัสดุแต่ละชนิดมีความสามารถในการนำไฟฟ้าไม่เท่ากัน เนื่องจากโครงสร้างอะตอมที่แตกต่างกัน วัสดุประเภท ตัวนำ เช่น ทองแดง เงิน และอลูมิเนียม มีอิเล็กตรอนอิสระจำนวนมาก ทำให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ง่าย จึงมีความต้านทานต่ำ ในทางกลับกัน วัสดุประเภท ฉนวน เช่น พลาสติก PVC, XLPE ยาง หรือแก้ว มีอิเล็กตรอนอิสระน้อยมาก ทำให้ไฟฟ้าไหลผ่านได้ยากมาก จึงมีความต้านทานสูงอย่างยิ่ง การเลือกใช้สายไฟฟ้าที่มีตัวนำคุณภาพสูงอย่างทองแดงบริสุทธิ์จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้การส่งผ่านพลังงานมีประสิทธิภาพสูงสุด
ความยาวของตัวนำ (Length)
ความยาวส่งผลโดยตรงกับค่าความต้านทาน ยิ่งตัวนำมีความยาวมากขึ้นเท่าไหร่ อิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่ผ่านก็จะต้องเดินทางไกลขึ้นและมีโอกาสกระทบกับอะตอมของตัวนำมากขึ้นเท่านั้น ทำให้เกิดความต้านทานสะสมเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เปรียบได้กับการเดินทางผ่านอุโมงค์ที่ยาวขึ้น ย่อมใช้เวลาและพลังงานมากกว่าอุโมงค์สั้นๆ ดังนั้น สายไฟที่ยาวมากจะมีความต้านทานสูงกว่าสายไฟชนิดเดียวกันที่สั้นกว่า
พื้นที่หน้าตัด (Cross-sectional Area)
ขนาดพื้นที่หน้าตัดของตัวนำมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับค่าความต้านทาน กล่าวคือ หากตัวนำมีพื้นที่หน้าตัดขนาดใหญ่ (สายไฟเส้นใหญ่) จะมีพื้นที่ให้อิเล็กตรอนเคลื่อนที่ผ่านได้มากขึ้น ทำให้ความต้านทานลดลง เหมือนกับถนนที่มีหลายเลน รถยนต์สามารถเคลื่อนที่ได้สะดวกกว่าถนนเลนเดียว ดังนั้น ในการใช้งานที่ต้องการกระแสไฟฟ้าสูง จึงจำเป็นต้องใช้สายไฟฟ้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อลดความต้านทานและความร้อนสะสม
อุณหภูมิ (Temperature)
อุณหภูมิเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ โดยทั่วไปแล้ว สำหรับวัสดุที่เป็นตัวนำส่วนใหญ่ เช่น โลหะ เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น อะตอมภายในจะสั่นสะเทือนมากขึ้น ทำให้ขัดขวางการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน ส่งผลให้ความต้านทานไฟฟ้าสูงขึ้นตามไปด้วย นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเมื่อใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าหนักๆ หรือสายไฟที่รับโหลดเกินกำลังจึงเกิดความร้อนสูง และอาจเป็นสาเหตุของอัคคีภัยได้ การออกแบบระบบไฟฟ้าจึงต้องคำนวณเผื่อผลกระทบจากอุณหภูมิแวดล้อมและการใช้งานด้วย

สูตรที่เกี่ยวข้องกับความต้านทานไฟฟ้า
การทำความเข้าใจความต้านทานไฟฟ้าคืออะไร นอกเหนือจากความหมายแล้วก็ต้องทำความเข้าใจเรื่องสูตรคำนวณพื้นฐานด้วย ซึ่งเป็นเครื่องมือที่วิศวกรและช่างไฟฟ้าใช้ในการวิเคราะห์และออกแบบวงจรไฟฟ้าให้ทำงานได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
กฎของโอห์ม (Ohm’s Law) หัวใจของวงจรไฟฟ้า
กฎของโอห์ม คือความสัมพันธ์พื้นฐานที่สุดในโลกของไฟฟ้า ที่อธิบายความเชื่อมโยงระหว่าง แรงดันไฟฟ้า (Voltage), กระแสไฟฟ้า (Current), และ ความต้านทานไฟฟ้า (Resistance) โดยมีใจความว่า “กระแสไฟฟ้าที่ไหลในวงจรจะแปรผันตรงกับแรงดันไฟฟ้า และแปรผกผันกับความต้านทาน” สามารถเขียนเป็นสูตรได้ดังนี้
V=IR
โดยที่
- V คือ แรงดันไฟฟ้า มีหน่วยเป็น โวลต์ (Volt)
- I คือ กระแสไฟฟ้า มีหน่วยเป็น แอมแปร์ (Ampere)
- R คือ ความต้านทานไฟฟ้า มีหน่วยเป็น โอห์ม (Ohm, Ω)
ตัวอย่างการคำนวณ หากเรามีแหล่งจ่ายไฟที่มีแรงดันไฟฟ้า 12 โวลต์ ต่อเข้ากับหลอดไฟที่มีความต้านทาน 3 โอห์ม เราสามารถหากระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านหลอดไฟได้จากกฎของโอห์ม โดยการย้ายข้างสมการเป็น I=V/R
I = 12V / 3Ω = 4A
ซึ่งหมายความว่าจะมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านหลอดไฟ 4 แอมแปร์ กฎของโอห์มช่วยให้เราสามารถคำนวณหาค่าใดค่าหนึ่งได้เสมอหากเรารู้สองค่าที่เหลือ
ความสัมพันธ์กับ กำลังไฟฟ้า และ แรงเคลื่อนไฟฟ้า
นอกเหนือจากกฎของโอห์มแล้ว ความต้านทานยังมีความสัมพันธ์โดยตรงกับ กำลังไฟฟ้า (Power) และพลังงานไฟฟ้า (Energy) อีกด้วย
- กำลังไฟฟ้า (P) คืออัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าในวงจร ซึ่งมักจะปรากฏในรูปของความร้อนหรือแสงสว่าง มีหน่วยเป็น วัตต์ (Watt) สูตรที่เชื่อมโยงกำลังไฟฟ้าเข้ากับความต้านทานคือ:
P = E²/R หรือ P = I²R
โดยที่ E หรือ V คือแรงดันไฟฟ้า จะเห็นได้ว่าหากแรงดันไฟฟ้าคงที่ อุปกรณ์ที่มีความต้านทานต่ำ (R) จะมีกำลังไฟฟ้าสูงกว่า ในขณะเดียวกัน หากกระแสไฟฟ้าคงที่ อุปกรณ์ที่มีความต้านทานสูง (R) จะให้กำลังไฟฟ้าออกมามากกว่าในรูปของความร้อน
- พลังงานไฟฟ้า (W) คือกำลังไฟฟ้าที่ใช้ไปในช่วงเวลาหนึ่ง มีหน่วยเป็น จูล (Joule) หรือ วัตต์-ชั่วโมง (Wh) ซึ่งเป็นหน่วยที่เราเห็นบนบิลค่าไฟนั่นเอง สูตรคำนวณคือ
W = EIt
ความเข้าใจในสูตรเหล่านี้ทำให้เราสามารถวิเคราะห์การใช้พลังงานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และออกแบบระบบไฟฟ้าเพื่อการส่งจ่ายพลังงานที่มีประสิทธิภาพและลดการสูญเสียให้น้อยที่สุด
อันตรายจากไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องกับความต้านทาน
ความต้านทานไฟฟ้าไม่เพียงแต่เป็นเรื่องทางเทคนิค แต่ยังเกี่ยวข้องโดยตรงกับความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน การละเลยหรือขาดความเข้าใจในเรื่องนี้อาจนำไปสู่เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่รุนแรงได้
รู้ระดับความรุนแรงเพื่อความปลอดภัย
อันตรายจากไฟฟ้าที่พบบ่อยที่สุดคือ ไฟฟ้าดูด และ ไฟฟ้าลัดวงจร ซึ่งล้วนมีต้นตอมาจากความสัมพันธ์ของกระแสไฟฟ้าและค่าความต้านทานของร่างกายหรือวงจร
- ไฟฟ้าดูด (Electric Shock) เกิดขึ้นเมื่อร่างกายของมนุษย์กลายเป็นส่วนหนึ่งของวงจรไฟฟ้า ทำให้มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน ความรุนแรงของอาการจะขึ้นอยู่กับปริมาณกระแสที่ไหลผ่าน ซึ่งแปรผกผันกับความต้านทานของร่างกายในขณะนั้น (ผิวหนังที่แห้งมีความต้านทานสูงกว่าผิวหนังที่เปียก)
- 1-5 มิลลิแอมแปร์ (mA) จะรู้สึกเหมือนมีอะไรมาทิ่มหรือรู้สึกเจ็บเล็กน้อย กล้ามเนื้อบริเวณที่สัมผัสอาจเกิดการกระตุก แต่ยังสามารถควบคุมร่างกายและปล่อยมือออกจากจุดที่สัมผัสได้
- 10-20 มิลลิแอมแปร์ (mA) กล้ามเนื้อจะเกิดการหดตัวอย่างรุนแรง ทำให้ไม่สามารถควบคุมได้ และอาจทำให้ไม่สามารถปล่อยมือออกจากแหล่งไฟฟ้าได้ด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่อันตรายอย่างยิ่ง
- มากกว่า 50 มิลลิแอมแปร์ (mA) เป็นระดับที่อันตรายถึงชีวิต กระแสไฟฟ้าจะส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจโดยตรง ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือหยุดเต้นได้ และยังส่งผลต่อระบบประสาทที่ควบคุมการหายใจ ทำให้หยุดหายใจและเสียชีวิตในที่สุด
- ไฟฟ้าลัดวงจร (Short Circuit) คือปรากฏการณ์ที่กระแสไฟฟ้าไหลผ่านในเส้นทางที่มีความต้านทานต่ำมากอย่างผิดปกติ เช่น ฉนวนสายไฟชำรุดทำให้สายไฟสองเส้นแตะกันโดยตรง จากกฎของโอห์ม (I=V/R) เมื่อค่าความต้านทาน (R) เข้าใกล้ศูนย์ จะทำให้กระแสไฟฟ้า (I) เพิ่มสูงขึ้นอย่างมหาศาลในทันที กระแสไฟฟ้าปริมาณมหาศาลนี้จะสร้างความร้อนสูงมากจนสามารถหลอมละลายตัวนำ จุดประกายไฟ และทำให้เกิดอัคคีภัยหรือการระเบิดของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับความต้านทานไฟฟ้า
V = IR คือสูตรอะไร?
V = IR คือ สูตรของ “กฎของโอห์ม” ซึ่งเป็นกฎพื้นฐานและสำคัญที่สุดในวงจรไฟฟ้า ใช้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร 3 ตัว ได้แก่ แรงดันไฟฟ้า (V), กระแสไฟฟ้า (I), และ ความต้านทานไฟฟ้า (R) สูตรนี้เป็นหัวใจหลักที่วิศวกรและช่างไฟฟ้าใช้ในการคำนวณและออกแบบวงจรไฟฟ้า เพื่อให้แน่ใจว่ากระแสไฟฟ้าและแรงดันไฟฟ้าอยู่ในระดับที่เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แต่ละชิ้น
ตัวต้านทานไฟฟ้า (Resistor) คืออะไร?
ตัวต้านทานไฟฟ้า หรือ รีซิสเตอร์ (Resistor) คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยเจตนาให้มีค่าความต้านทานที่แน่นอนและแม่นยำ เพื่อนำไปใช้ในวงจรไฟฟ้าในการจำกัดหรือควบคุมการไหลของกระแสไฟฟ้า ปรับระดับสัญญาณ แบ่งแรงดันไฟฟ้า หรือทำหน้าที่อื่นๆ ตามที่ออกแบบไว้ ตัวต้านทานไฟฟ้าเป็นส่วนประกอบที่พบได้แทบทุกวงจร ตั้งแต่อุปกรณ์ขนาดเล็กไปจนถึงเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม
ความต้านทานไฟฟ้า 1 โอห์ม หมายถึงอะไร?
ความต้านทานไฟฟ้า 1 โอห์ม ถูกกำหนดขึ้นจากกฎของโอห์ม โดยหมายถึง “ค่าความต้านทานของตัวนำไฟฟ้า ที่เมื่อมีแรงดันไฟฟ้าขนาด 1 โวลต์ มาต่อคร่อมที่ปลายทั้งสองของตัวนำนั้น แล้วจะทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าไหลผ่านตัวนำนั้นเป็นปริมาณ 1 แอมแปร์” นี่คือหน่วยวัดพื้นฐานที่ใช้เป็นมาตรฐานในการอ้างอิงและคำนวณค่าความต้านทานในวงจรไฟฟ้าทั่วโลก

สรุปบทความ
โดยสรุปแล้ว ความต้านทานไฟฟ้า คือคุณสมบัติพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจและการทำงานของระบบไฟฟ้าทั้งหมด ตั้งแต่การกำหนดปริมาณกระแสไฟฟ้าในวงจรด้วยกฎของโอห์ม ไปจนถึงการส่งผลต่อกำลังไฟฟ้าและความร้อนที่เกิดขึ้น การมีความรู้ความเข้าใจในปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อความต้านทานและอันตรายที่อาจเกิดขึ้น จะช่วยให้เราสามารถใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และระบบไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและตระหนักถึงความปลอดภัยสูงสุด
สำหรับผู้ประกอบการ หรือวิศวกรที่กำลังมองหาสายไฟฟ้าและสายเคเบิลคุณภาพสูง ที่ผลิตจากตัวนำที่ได้มาตรฐาน มีค่าความต้านทานต่ำ และมีฉนวนที่ทนทานเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของโครงการ Fuhrer คือคำตอบ ด้วยประสบการณ์กว่า 50 ปี และความไว้วางใจจากโครงการชั้นนำทั้งภาครัฐและเอกชน เราพร้อมให้คำปรึกษาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการด้านวิศวกรรมไฟฟ้าของคุณ
การเลือกใช้สายไฟฟ้าที่เหมาะสมกับงานคือหัวใจสำคัญของความปลอดภัยและประสิทธิภาพของระบบทั้งหมด หนึ่งในชนิดของสายไฟที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบันคือ สาย XLPE ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านคุณสมบัติที่เหนือกว่าสายไฟแบบดั้งเดิมหลายประการ วันนี้ Fuhrer ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสายไฟฟ้าคุณภาพสูงที่ได้รับความไว้วางใจในอุตสาหกรรมมากว่า 27 ปี จะพาไปทำความรู้จักกับ สาย XLPE ให้ลึกซึ้ง ตั้งแต่ความหมาย คุณสมบัติเด่น ไปจนถึงการเลือกใช้งานให้ถูกต้องและคุ้มค่าที่สุด
สาย XLPE คืออะไร
สาย XLPE คือสายไฟฟ้าที่ใช้ฉนวนซึ่งทำมาจากพอลีเอทิลีน (Polyethylene) ที่ผ่านกระบวนการทางเคมีที่เรียกว่า “Cross-linked” หรือ “Vulcanized” ทำให้โครงสร้างโมเลกุลของพอลีเอทิลีนเกิดการเชื่อมโยงกันเป็นร่างแห (3D Network) ผลลัพธ์ที่ได้คือฉนวนเปลี่ยนจาก Polyethtlene เป็น Cross-linked Polyethtlene ทำให้ฉนวนมีคุณสมบัติทางกายภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความทนทานต่ออุณหภูมิและความแข็งแรงเชิงกล
ทำไมคนถึงเรียกปนกับสาย CV?
เป็นเรื่องปกติในวงการช่างและวิศวกรที่จะได้ยินคนเรียกสาย XLPE สลับกับ “สาย CV” ซึ่งก่อให้เกิดความสับสนได้ง่าย ความจริงแล้ว ทั้งสองคำนี้มีความหมายที่เกี่ยวข้องกันแต่ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว
- สาย CV เป็นชื่อเรียกตามมาตรฐานญี่ปุ่น (JIS) หมายถึงสายไฟฟ้าที่ใช้ ฉนวน XLPE และมี เปลือกนอกเป็น PVC (Polyvinyl Chloride) ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดในงานติดตั้งทั่วไป
- สาย XLPE ตามนิยามที่ถูกต้องกว่า จะหมายถึงสายไฟฟ้าที่ใช้ ฉนวน XLPE และมี เปลือกนอกเป็น PE (Polyethylene) ซึ่งมักใช้ในงานที่ต้องการความทนทานต่อสภาพแวดล้อมภายนอกอาคารสูงเป็นพิเศษ เช่น งานเดินสายใต้ดิน หรือในบริเวณที่มีความชื้นสูง
ดังนั้น แม้คนส่วนใหญ่จะเรียกเหมารวมว่าสาย CV แต่การทำความเข้าใจว่า “XLPE” คือชื่อของชนิดฉนวน จะช่วยให้สามารถเลือกชนิดของเปลือกนอก (Sheath) ให้เหมาะสมกับหน้างานได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
คุณสมบัติและลักษณะเด่นของสาย XLPE ที่ช่างไฟควรรู้
การที่สาย XLPE ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในโครงการขนาดใหญ่และงานที่ต้องการความเชื่อถือสูง มาจากคุณสมบัติเด่น 4 ประการที่แตกต่างจากสายไฟฟ้าหุ้มฉนวนชนิดอื่นอย่างชัดเจน
ทนความร้อนสูงกว่าสายทั่วไป
จุดเด่นที่สุดของ ฉนวน XLPE คือความสามารถในการทนต่ออุณหภูมิที่สูงกว่าฉนวน PVC อย่างมาก โดย สาย XLPE สามารถทนอุณหภูมิตัวนำได้สูงสุดถึง 90°C ในสภาวะใช้งานปกติ และทนอุณหภูมิขณะเกิดการลัดวงจรได้สูงถึง 250°C (ในระยะเวลาสั้นๆ) ซึ่งสูงกว่าสาย PVC ที่ทนได้เพียง 70°C และ 160°C ตามลำดับ คุณสมบัตินี้ทำให้ สาย XLPE สามารถนำกระแสไฟฟ้าได้สูงกว่าสาย PVC ที่มีขนาดตัวนำเท่ากัน จึงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับระบบที่ต้องการประสิทธิภาพการส่งจ่ายกำลังไฟฟ้าสูงสุด
ความแข็งแรงเชิงกลและทนทานต่อสารเคมี
ด้วยโครงสร้างโมเลกุลแบบร่างแห ทำให้ฉนวน XLPE มีความแข็งแรง ทนทานต่อแรงกระแทก การขูดขีด และการเสียดสีได้ดีกว่า PVC อย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ยังมีความทนทานต่อการกัดกร่อนจากสารเคมีและความชื้นได้ดีเยี่ยม ทำให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า ลดความถี่และค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาในระยะยาว
คุณสมบัติทางไฟฟ้าที่ดีเยี่ยม
ฉนวน XLPE มีค่าความเป็นฉนวนทางไฟฟ้า (Dielectric Strength) ที่สูงมาก และมีค่าการสูญเสียในฉนวน (Dielectric Loss) ต่ำ ซึ่งหมายความว่ามันสามารถป้องกันการรั่วไหลของกระแสไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้ระบบไฟฟ้ามีความเสถียรและปลอดภัยสูง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับงานที่เกี่ยวกับระบบไฟฟ้าแรงดันสูง
น้ำหนักเบาและติดตั้งง่าย
เมื่อเทียบกับสายไฟฟ้าประเภทอื่นที่มีพิกัดการทนกระแสเท่ากันสาย XLPE มักจะมีขนาดเล็กและน้ำหนักเบากว่า เนื่องจากคุณสมบัติการทนความร้อนที่สูงกว่า ทำให้สามารถใช้ตัวนำขนาดเล็กลงได้ ข้อได้เปรียบนี้ช่วยให้การขนส่งและการติดตั้งทำได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในการเดินสายในที่แคบหรือบนรางเคเบิลที่มีพื้นที่จำกัด

ประเภทของสาย XLPE ที่นิยมใช้งาน
สาย XLPE สามารถแบ่งประเภทได้ตามลักษณะของตัวนำ เพื่อให้เหมาะสมกับรูปแบบการติดตั้งที่แตกต่างกัน และยังแบ่งตามพิกัดแรงดันไฟฟ้าตามมาตรฐานสากลอีกด้วย
สายแบบแข็ง (Solid Conductor)
เป็นสาย XLPE ที่มีตัวนำเป็นลวดทองแดงหรืออะลูมิเนียมเส้นเดี่ยว มีลักษณะแข็ง ไม่สามารถดัดโค้งงอได้มากนัก เหมาะสำหรับงานติดตั้งแบบถาวร เช่น การเดินสายในท่อร้อยสายฝังดินหรือฝังในผนังคอนกรีต ที่ไม่ต้องการการเคลื่อนย้ายหรือดัดสายบ่อยครั้ง
สายแบบยืดหยุ่น (Flexible Conductor / Stranded Conductor)
เป็นสาย XLPE ที่มีตัวนำภายในประกอบด้วยลวดทองแดงหรืออะลูมิเนียมเส้นเล็กๆ จำนวนมากตีเกลียวรวมกัน ทำให้สายมีความอ่อนตัวและยืดหยุ่นสูง สามารถดัดโค้งงอได้ง่าย เหมาะสำหรับงานที่ต้องเดินสายในพื้นที่โค้งงอ หรือติดตั้งในรางเคเบิล (Cable Tray/Ladder) และงานที่อาจต้องมีการปรับเปลี่ยนหรือเคลื่อนย้ายในอนาคต
สาย XLPE เหมาะกับงานประเภทไหนบ้าง?
ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นรอบด้าน ทำให้สาย XLPE เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับงานติดตั้งระบบไฟฟ้าที่ต้องการความทนทานและความเชื่อถือได้สูง โดยมีตัวอย่างการใช้งานหลักดังนี้
งานเดินสายไฟฟ้าใต้ดิน (Underground Cable)
คุณสมบัติการทนความชื้น, ทนต่อแรงกดทับ และความแข็งแรงเชิงกลของสาย XLPE ทำให้เป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับงานร้อยท่อฝังดินหรือฝังดินโดยตรง ช่วยลดความเสี่ยงจากความเสียหายทางกายภาพและปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
งานเดินสายในอาคารขนาดใหญ่และโรงงานอุตสาหกรรม
ในอาคารสูง, ห้างสรรพสินค้า, โรงพยาบาล หรือโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการใช้ไฟฟ้าปริมาณมาก ความสามารถในการนำกระแสสูงของสาย XLPE ช่วยให้สามารถรองรับโหลดไฟฟ้าหนักๆ ได้อย่างปลอดภัย ลดความเสี่ยงจากปัญหาความร้อนสะสมในสายไฟซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของอัคคีภัย
ระบบส่งจ่ายกำลังไฟฟ้าแรงสูง (High Voltage Power Lines)
สำหรับโครงการระบบส่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าของการไฟฟ้าฯ หรือสถานีไฟฟ้าย่อย ความเป็นฉนวนที่ดีเยี่ยมและค่าการสูญเสียทางไฟฟ้าที่ต่ำของสาย XLPE มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาเสถียรภาพของระบบและลดการสูญเสียพลังงานในระหว่างการส่งจ่ายไฟฟ้าในระยะทางไกล
เปรียบเทียบชัดๆ สาย XLPE ต่างจากสาย PVC อย่างไร?
เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างระหว่างฉนวน XLPE และฉนวน PVC ที่เป็นที่นิยมในงานทั่วไปได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถสรุปเปรียบเทียบคุณสมบัติในด้านต่างๆ ได้ดังตารางต่อไปนี้
| คุณสมบัติ | สาย XLPE | สาย PVC |
| การทนความร้อน | สูงมาก (ทนอุณหภูมิตัวนำได้ 90°C) | ปานกลาง (ทนอุณหภูมิตัวนำได้ 70°C) |
| ความทนทานเชิงกล | ดีเยี่ยม ทนต่อการขีดข่วนและแรงกระแทก | ดี ทนทานต่อการใช้งานทั่วไป |
| อายุการใช้งาน | ยาวนานมาก (มากกว่า 20-30 ปี) | ยาวนาน (ประมาณ 15-20 ปี) |
| ราคา | สูงกว่า | ประหยัดกว่า |
| การนำกระแส | นำกระแสได้สูงกว่าในขนาดตัวนำเดียวกัน | นำกระแสได้ตามมาตรฐาน |
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสาย XLPE
ฉนวน XLPE คืออะไร?
ฉนวน XLPE คือ ฉนวนที่ทำจากพอลีเอทิลีน (PE) ที่ผ่านกระบวนการ Cross-linking เพื่อเชื่อมโยงโครงสร้างโมเลกุลให้แข็งแรงขึ้น ทำให้มีคุณสมบัติทนความร้อน, ทนทานต่อสารเคมี และมีความแข็งแรงเชิงกลสูงกว่าฉนวนพลาสติกเทอร์โมพลาสติกทั่วไปอย่าง PVC อย่างมีนัยสำคัญ
สาย XLPE ทนกระแสได้เท่าไหร่?
ความสามารถในการทนกระแสของ สาย XLPE ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 2 อย่าง คือ ขนาดของตัวนำไฟฟ้า (พื้นที่หน้าตัด) และ ลักษณะการติดตั้ง (เช่น เดินในอากาศ, ในท่อร้อยสาย, หรือฝังดิน) ซึ่งมีผลต่อการระบายความร้อน โดยสามารถอ้างอิงพิกัดกระแสได้จากตารางมาตรฐานของผู้ผลิตหรือมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) ยกตัวอย่างเช่น สาย XLPE ขนาด 50 ตร.มม. อาจทนกระแสได้สูงกว่า 200 แอมแปร์ เมื่อติดตั้งในอากาศ
สาย XLPE กับสาย CV ต่างกันอย่างไร?
สรุปให้เข้าใจง่ายที่สุดคือ XLPE เป็น “ชื่อของชนิดฉนวน” ในขณะที่ CV เป็น “ชื่อเรียกของชนิดสายไฟ” ตามมาตรฐานญี่ปุ่น ซึ่งหมายถึงสายที่มี ฉนวนเป็น XLPE และ เปลือกนอกเป็น PVC ดังนั้น สาย XLPE ทุกเส้นไม่ได้เป็นสาย CV เสมอไป เพราะอาจมีเปลือกนอกเป็นวัสดุชนิดอื่น เช่น PE ก็ได้

สรุปบทความ
สาย XLPE ถือเป็นเทคโนโลยีสายไฟฟ้าขั้นสูงที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของระบบไฟฟ้าสมัยใหม่ที่ต้องการทั้งประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความทนทานในระยะยาว แม้จะมีราคาสูงกว่าสาย PVC แต่เมื่อพิจารณาถึงความสามารถในการนำกระแสที่สูงกว่าและอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า ก็นับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับทุกโครงการ
สำหรับผู้ประกอบการ, วิศวกร, หรือผู้รับเหมาที่กำลังมองหาสาย XLPE และสายไฟฟ้าคุณภาพสูงที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากล Fuhrer Wire & Cable พร้อมเป็นผู้ช่วยและที่ปรึกษา เราคือผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสายไฟฟ้าชั้นนำของไทย ด้วยประสบการณ์ยาวนานกว่า 3 ทศวรรษ และได้รับความไว้วางใจจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนชั้นนำของประเทศมากมาย อาทิ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.), การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าจะได้รับผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีที่สุดสำหรับโครงการของคุณ
ในโลกของระบบไฟฟ้า การเลือกใช้สายไฟที่เหมาะสมถือเป็นหัวใจสำคัญของความปลอดภัยและเสถียรภาพ โดยเฉพาะในโครงการขนาดใหญ่และภาคอุตสาหกรรม หนึ่งในสายไฟที่ได้รับความนิยมและไว้วางใจสูงสุดคือ สาย CV ซึ่งเป็นสายไฟฟ้าแรงดันต่ำที่มีประสิทธิภาพสูง วันนี้ Fuhrer ในฐานะผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสายไฟฟ้าคุณภาพระดับสากล จะพาไปเจาะลึกทุกแง่มุมเกี่ยวกับสายไฟ CV ตั้งแต่โครงสร้าง คุณสมบัติ ประเภท ไปจนถึงการใช้งานที่เหมาะสม เพื่อให้คุณเลือกใช้ได้อย่างถูกต้องและมั่นใจ
สายไฟ CV คืออะไร
สายไฟ CV มีชื่อเรียกเต็มคือ “Cross-linked Polyethylene Insulated, PVC Sheathed Power Cable” เป็นสายไฟฟ้าทองแดงหุ้มฉนวน XLPE และมีเปลือกนอกเป็น PVC จัดเป็นสายไฟฟ้าประเภทแรงดันต่ำ (Low Voltage) ที่สามารถทนแรงดันไฟฟ้าได้ 0.6/1 kV หรือ 600/1000 โวลต์ ด้วยคุณสมบัติเด่นของฉนวน XLPE ที่ทนความร้อนได้สูงถึง 90 องศาเซลเซียส ทำให้สาย CV สามารถนำกระแสไฟฟ้าได้สูงกว่าสายไฟทั่วไปที่มีขนาดตัวนำเท่ากัน จึงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับการติดตั้งที่ต้องการความทนทานและประสิทธิภาพในการจ่ายไฟสูง
โครงสร้างและคุณสมบัติเด่นของสายไฟ CV
ประสิทธิภาพที่เหนือกว่าของสาย CV มาจากโครงสร้างที่ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถัน ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วนสำคัญที่ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความแข็งแกร่งและเสถียรภาพในการจ่ายพลังงานไฟฟ้า
ตัวนำไฟฟ้า (Conductor)
ส่วนแกนกลางของสายไฟ CV ทำจากทองแดงบริสุทธิ์ที่ผ่านกระบวนการอบอ่อน (Annealed Copper) ทำให้มีความอ่อนตัวสูงและนำไฟฟ้าได้อย่างดีเยี่ยม มีทั้งรูปแบบของตัวนำเส้นเดี่ยว (Solid) และแบบตีเกลียว (Stranded) ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการติดตั้ง ทำให้สามารถดัดโค้งได้ง่ายในพื้นที่จำกัด โครงสร้างตัวนำนี้เป็นไปตามมาตรฐาน มอก. 2143-2546 ทำให้มั่นใจได้ในคุณภาพและความปลอดภัย
ฉนวน (Insulation)
นี่คือจุดเด่นที่สุดของสาย CV ฉนวนทำจากวัสดุ XLPE (Cross-linked Polyethylene) ซึ่งเป็นพลาสติกโพลีเอทิลีนที่ผ่านกระบวนการทำให้มีโครงสร้างแบบร่างแห ทนทานต่อความร้อนได้สูงถึง 90 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าฉนวน PVC ในสายไฟทั่วไปที่ทนได้เพียง 70 องศาเซลเซียส คุณสมบัตินี้ส่งผลให้สายไฟ CV สามารถรองรับปริมาณกระแสไฟฟ้าได้มากขึ้น และทนต่อการลัดวงจรชั่วขณะได้ดีเยี่ยม
เปลือกนอก (Sheath)
ชั้นนอกสุดทำจาก PVC (Polyvinyl Chloride) คุณภาพสูง ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันแกนสายไฟภายในจากปัจจัยแวดล้อมต่างๆ เช่น ความชื้น, แสงแดด, การขูดขีด และการกัดกร่อนของสารเคมีบางชนิด ทำให้สาย CV มีความทนทานสูง เหมาะสำหรับการติดตั้งในทุกสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งในอาคารหรือการติดตั้งใต้ดิน
สายไฟ CV มีกี่ประเภท?
ในท้องตลาดสายไฟ CV สามารถแบ่งตามลักษณะโครงสร้างและการใช้งานได้หลายรูปแบบ แต่ประเภทที่พบได้บ่อยและเป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มวิศวกรและช่างไฟฟ้า มีอยู่ 2 ประเภทหลัก ซึ่งแตกต่างกันที่การมีสายดิน (Ground) รวมอยู่ด้วย
สาย CV (0.6/1 kV-CV)
เป็นสาย CV มาตรฐานที่อาจมีแกนเดี่ยว (Single Core) หรือหลายแกน (Multi-Core) ก็ได้ โดยจะไม่มีสายดินรวมอยู่ในโครงสร้างเส้นเดียวกัน เหมาะสำหรับงานติดตั้งระบบไฟฟ้า 3 เฟส ที่มีการเดินสายดินแยก หรือในระบบที่ไม่จำเป็นต้องใช้สายดินในวงจรนั้นๆ เป็นประเภทที่นิยมใช้ในงานทั่วไปที่ต้องการประสิทธิภาพการจ่ายไฟสูง
สาย CV (0.6/1 kV-CV)
เป็นสายไฟ CV ที่มีการเพิ่มสายดิน (Ground Conductor) เข้ามาเป็นหนึ่งในแกนของสาย ทำให้การติดตั้งสะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในงานที่ต้องต่อเข้ากับอุปกรณ์หรือเครื่องจักรที่มาตรฐานบังคับให้ต้องมีสายดิน เพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้ารั่ว การเลือกใช้สาย CV ช่วยลดขั้นตอนการเดินสายดินแยก ทำให้การติดตั้งรวดเร็วและเป็นระเบียบเรียบร้อย

สายไฟ CV เหมาะกับงานประเภทไหน
ด้วยโครงสร้างที่แข็งแรงและคุณสมบัติการทนความร้อนที่ยอดเยี่ยม ทำให้สายไฟ CV กลายเป็นสายไฟอเนกประสงค์ที่สามารถรองรับการติดตั้งได้หลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความเชื่อถือได้สูง
การติดตั้งในอาคารและโรงงานอุตสาหกรรม
สาย CV เหมาะอย่างยิ่งสำหรับใช้เป็นสายเมนจ่ายกำลังไฟฟ้าในอาคารขนาดใหญ่, โรงแรม, โรงพยาบาล และโรงงานอุตสาหกรรม ที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงและต่อเนื่อง ความสามารถในการทนกระแสสูงช่วยให้ระบบไฟฟ้ามีเสถียรภาพ รองรับการทำงานของเครื่องจักรหนักได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
การติดตั้งแบบร้อยท่อฝังดิน หรือฝังดินโดยตรง
เปลือก PVC ที่ทนทานของสายไฟ CV ทำให้สามารถป้องกันความชื้นและแรงกดทับได้ดี จึงนิยมใช้ในงานเดินสายใต้ดิน ทั้งแบบร้อยในท่อ Conduit เพื่อเพิ่มการป้องกัน หรือแม้กระทั่งการฝังลงในดินโดยตรง (Direct Burial) สำหรับการจ่ายไฟฟ้าระหว่างอาคารหรือไปยังจุดที่อยู่ห่างไกล
การติดตั้งบนรางเคเบิล (Cable Tray)
ในโรงงานอุตสาหกรรมหรืออาคารขนาดใหญ่ มักนิยมเดินสายไฟบนรางเคเบิลที่เปิดโล่งเพื่อการระบายความร้อนที่ดีและการบำรุงรักษาที่ง่ายสาย CV มีความแข็งแรงของโครงสร้างที่สามารถวางบนรางเคเบิลได้โดยไม่เสียหาย และยังคงประสิทธิภาพการจ่ายไฟได้อย่างดีเยี่ยม
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสายไฟ CV
สาย CV กับสาย NYY ต่างกันอย่างไร?
เนื่องจากสายทั้งสองชนิดเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินที่ได้รับความนิยม แต่มีความแตกต่างที่สำคัญซึ่งส่งผลต่อการใช้งานโดยตรง สรุปความแตกต่างหลักได้ดังนี้
- ฉนวน จุดต่างที่สำคัญที่สุดคือชนิดของฉนวน สาย CV ใช้ฉนวน XLPE ซึ่งทนอุณหภูมิได้ 90°C ในขณะที่สาย NYY,NYY-G ใช้ฉนวน PVC ซึ่งทนอุณหภูมิได้เพียง 70°C
- การทนกระแส จากความแตกต่างของฉนวน ทำให้สาย CV สามารถทนกระแสไฟฟ้าได้สูงกว่าสาย NYY เมื่อมีขนาดตัวนำเท่ากัน ดังนั้นหากต้องการจ่ายไฟในปริมาณเท่ากัน อาจสามารถลดขนาดของสายไฟ CV ลงได้ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและพื้นที่ในการติดตั้ง
สาย CV ทนกระแสได้เท่าไหร่?
ความสามารถในการทนกระแสของสาย CV ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดของตัวนำเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับวิธีการติดตั้งอีกด้วย เนื่องจากอุณหภูมิโดยรอบและการระบายความร้อนมีผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพ โดยทั่วไปแล้ว
- การติดตั้งในอากาศ จะระบายความร้อนได้ดีที่สุดและทนกระแสได้สูงสุด
- การติดตั้งในท่อร้อยสาย จะทนกระแสได้ลดลงเล็กน้อย
- การติดตั้งแบบฝังดินโดยตรง จะทนกระแสได้น้อยที่สุดเนื่องจากระบายความร้อนได้ยาก
ตัวอย่างเช่น สาย CV ขนาด 50 ตร.มม. อาจทนกระแสได้ต่างกันหลายสิบแอมแปร์ระหว่างการติดตั้งในอากาศกับการฝังดิน ดังนั้น การคำนวณที่แม่นยำควรปรึกษาวิศวกรไฟฟ้าและอ้างอิงตารางมาตรฐานจากผู้ผลิต
สายไฟแรงดันต่ำกับแรงดันสูงต่างกันอย่างไร?
การแบ่งประเภทสายไฟตามระดับแรงดัน เป็นการจำแนกพื้นฐานในระบบไฟฟ้า ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนทั้งในด้านโครงสร้างและการใช้งาน
- แรงดันต่ำ (Low Voltage) คือระบบไฟฟ้าที่มีแรงดันไม่เกิน 1,000 โวลต์ (1kV) เป็นระบบที่ใช้กันทั่วไปในอาคาร บ้านพักอาศัย และโรงงานอุตสาหกรรม สำหรับจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ สายไฟที่ใช้ในกลุ่มนี้คือ สาย CV, NYY, VCT, และสาย THW
- แรงดันสูง (High Voltage) คือระบบไฟฟ้าที่มีแรงดันเกิน 1,000 โวลต์ขึ้นไป ใช้สำหรับระบบส่งและจ่ายพลังงานไฟฟ้าในระยะทางไกลๆ จากโรงไฟฟ้าไปยังสถานีไฟฟ้าย่อยต่างๆ สายไฟแรงสูงจะมีโครงสร้างที่ซับซ้อนและฉนวนที่หนาเป็นพิเศษเพื่อป้องกันการสูญเสียพลังงานและอันตราย

สรุปบทความ
โดยสรุปสาย CV คือสายไฟฟ้าแรงดันต่ำประสิทธิภาพสูงที่โดดเด่นด้วยฉนวน XLPE ทำให้ทนความร้อนและนำกระแสได้ดีกว่าสายไฟฉนวน PVC ทั่วไป ด้วยความแข็งแรงทนทานและความสามารถในการติดตั้งที่หลากหลาย ทั้งในอากาศ บนรางเคเบิล หรือฝังดิน ทำให้สายไฟ CV เป็นตัวเลือกที่วิศวกรและผู้รับเหมาไว้วางใจสำหรับโครงการที่ต้องการความเสถียรและความปลอดภัยสูงสุด
สำหรับผู้ประกอบการ วิศวกร หรือเจ้าของโครงการที่กำลังมองหาสายไฟ CV และสายไฟฟ้าคุณภาพสูงที่ได้มาตรฐานระดับสากล Fuhrer พร้อมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจของคุณ เราคือผู้ผลิตที่มีประสบการณ์ยาวนานและได้รับความไว้วางใจจากหน่วยงานภาครัฐชั้นนำ เช่น การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.), การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รวมถึงบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่มากมาย ที่มั่นใจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของเราในโครงการสำคัญเสมอมา
เมื่อพูดถึงการวางระบบไฟฟ้าสำหรับโครงการที่ต้องการความทนทานและเสถียรภาพสูงสุด ชื่อของสาย NYY,NYY-G มักจะเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่วิศวกรและช่างไฟฟ้ามืออาชีพนึกถึงเสมอ ด้วยคุณสมบัติที่ออกแบบมาเพื่อความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ทำให้สามารถใช้งานได้หลากหลาย โดยเฉพาะการนำสาย NYY,NYY-G ใช้เดินฝังดินได้โดยตรง ซึ่งเป็นจุดเด่นสำคัญ ชื่อ NYY,NYY-G นั้นมาจากมาตรฐาน VDE ของเยอรมนี วันนี้ Fuhrer ในฐานะผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสายไฟฟ้าคุณภาพสูงที่ได้รับความไว้วางใจมาอย่างยาวนาน จะพาไปเจาะลึกทุกแง่มุมของสายไฟ NYY,NYY-G ชนิดนี้
สายไฟ NYY,NYY-G คืออะไร
สายไฟ NYY,NYY-G คือ สายไฟฟ้าหุ้มฉนวนและเปลือกนอกด้วย PVC (Polyvinyl Chloride) ชนิดทนทานพิเศษ โดยมีโครงสร้างภายในเป็นตัวนำทองแดง สามารถทนแรงดันไฟฟ้าได้ที่ 450/750 โวลต์ และทนอุณหภูมิได้สูงสุด 70 องศาเซลเซียส จุดเด่นที่ทำให้ สาย NYY,NYY-G ได้รับความนิยมอย่างสูงคือโครงสร้างเปลือกสองชั้นที่หนาและแข็งแรงเป็นพิเศษ ทำให้ทนทานต่อสภาพแวดล้อม การกดทับ และความชื้นได้ดีเยี่ยม จึงเป็นสายไฟที่เหมาะสมที่สุดสำหรับงานติดตั้งที่ต้องการความทนทานสูง เช่น งานเดินสายใต้ดิน
โครงสร้างและคุณสมบัติเด่นของสาย NYY,NYY-G ที่ควรรู้
ความแข็งแกร่งทนทานของ สาย NYY,NYY-G ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่มาจากโครงสร้างที่ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเพื่อการใช้งานหนักโดยเฉพาะ ซึ่งประกอบด้วยส่วนสำคัญที่ทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัว โครงสร้างของ สายไฟ NYY,NYY-G ประกอบด้วย 4 ส่วนหลักที่ทำให้สายมีความแข็งแรงและปลอดภัยสูงสุด ดังนี้
ตัวนำไฟฟ้า (Conductor)
หัวใจหลักของการส่งผ่านพลังงานไฟฟ้า ทำจากทองแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงและนำไฟฟ้าได้ดีเยี่ยม โดยมีทั้งรูปแบบตัวนำแกนเดี่ยว (Solid) สำหรับสายขนาดเล็กที่ต้องการความแข็งแรงในการติดตั้งแบบถาวร และตัวนำตีเกลียว (Stranded) สำหรับสายขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการดัดโค้งระหว่างการติดตั้ง และทนต่อแรงสั่นสะเทือนได้ดีกว่า
ฉนวน (Insulation)
ชั้นป้องกันด่านแรกที่หุ้มตัวนำทองแดงแต่ละแกน ทำจากพอลิไวนิลคลอไรด์ (PVC) คุณภาพสูง มีคุณสมบัติเป็นฉนวนไฟฟ้าที่ดีเยี่ยม สามารถทนต่อแรงดันไฟฟ้าตามพิกัดได้โดยไม่เกิดการรั่วไหล ที่สำคัญคือมีคุณสมบัติไม่ลามไฟ (Flame Retardant) ช่วยจำกัดความเสียหายในกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้ โดยฉนวนจะถูกกำกับด้วยสีที่แตกต่างกันตามมาตรฐาน เพื่อให้ง่ายต่อการระบุเฟส (L), สายนิวทรัล (N), และสายดิน (G) ในระหว่างการติดตั้งสาย NYY,NYY-G ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญด้านความปลอดภัย
เปลือกใน (Inner Sheath)
ในสาย NYY,NYY-G แบบหลายแกน จะมีเปลือก PVC อีกชั้นหนึ่งอยู่ด้านใน ทำหน้าที่สำคัญสองประการ คือ (1) หุ้มรวบสายไฟที่มีฉนวนหุ้มทุกแกนเข้าไว้ด้วยกันให้เป็นรูปทรงกลมที่สมบูรณ์ ซึ่งช่วยให้การรับแรงกดทับจากภายนอกกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ และ (2) ทำหน้าที่เป็นชั้นป้องกันเชิงกลอีกชั้นหนึ่ง ป้องกันไม่ให้ฉนวนของสายแต่ละแกนได้รับความเสียหายโดยตรง
เปลือกนอก (Outer Sheath)
เกราะป้องกันชั้นนอกสุดและเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดที่ทำให้สายไฟ NYY,NYY-G มีความทนทานเป็นพิเศษ ผลิตจาก PVC เกรดพิเศษที่มีความหนาและเหนียวกว่าสายไฟทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด โดยเปลือกสีดำนี้ถูกผสมสารป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต (UV Stabilizer) ทำให้ทนทานต่อแสงแดดโดยตรงโดยไม่เปราะแตกง่ายเมื่อติดตั้งในที่โล่ง นอกจากนี้ยังถูกออกแบบมาให้ทนต่อการขูดขีด, แรงกระแทก, ความชื้น และการกัดกร่อนจากสารเคมีในดิน จึงเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้สาย NYY ใช้เดินฝังดินได้โดยตรง อย่างปลอดภัย
คุณสมบัติที่ทำให้สาย NYY,NYY-G แตกต่าง
จากโครงสร้างดังกล่าว ส่งผลให้สาย NYY,NYY-G มีคุณสมบัติเด่นที่เหนือกว่าสายไฟทั่วไปหลายประการ
- ทนทานต่อสภาพแวดล้อม ด้วยเปลือกนอกที่หนาเป็นพิเศษ ทำให้ทนต่อสภาพอากาศที่เลวร้าย แสงแดด และฝนได้ดี
- ทนต่อแรงกระแทกและการกดทับ สามารถรองรับแรงกดทับจากการฝังดินได้โดยตรง ทำให้การเป็น NYY ใช้เดินฝังดินได้โดยตรง เป็นคุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุด
- ป้องกันความชื้นและการกัดกร่อน โครงสร้างเปลือก 2 ชั้นช่วยป้องกันไม่ให้น้ำหรือความชื้นซึมเข้าไปถึงตัวนำไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ความปลอดภัยสูง เป็นสายไฟฟ้าที่ผ่านมาตรฐานอุตสาหกรรม มอก. 11 เล่ม 101-2559 ทำให้มั่นใจได้ในคุณภาพและความปลอดภัยในการใช้งาน

ประเภทของสายไฟ NYY,NYY-G
เพื่อตอบสนองความต้องการของระบบไฟฟ้าที่แตกต่างกันสาย NYY,NYY-G ถูกผลิตขึ้นมาหลายประเภท โดยสามารถแบ่งตามจำนวนแกนและการมีสายดิน เพื่อให้ผู้ใช้งานเลือกได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัยที่สุด
สาย NYY แบบ 1 แกน
เป็นสายไฟ NYY ที่มีตัวนำไฟฟ้าเพียงแกนเดียว เหมาะสำหรับใช้งานในระบบไฟฟ้า 1 เฟส หรือใช้เป็นสายต่อลงดิน (Ground) ในบางกรณี มักนิยมใช้เดินในท่อร้อยสายไฟเพื่อเพิ่มการป้องกันทางกายภาพ โดยเฉพาะในการติดตั้งในอาคารหรือโรงงาน
สาย NYY แบบมีหลายแกน
เป็นสาย NYY ที่มีตัวนำตั้งแต่ 2 แกนขึ้นไป เหมาะสำหรับระบบไฟฟ้าที่ซับซ้อนขึ้น เช่น ระบบ 1 เฟส ที่มีสายนิวทรัล (N) หรือระบบไฟฟ้า 3 เฟส โดยจะไม่มีสายดิน (Ground) รวมอยู่ด้วย เหมาะกับงานที่ระบบมีการเดินสายดินแยกต่างหาก
สาย NYY-G แบบมีหลายแกน มีสายดิน
นี่คือประเภทที่ได้รับความนิยมใช้งานมากที่สุด คำว่า “-G” ย่อมาจาก Ground หมายถึงสาย NYY ประเภทนี้จะมีสายดิน (มักเป็นสีเขียวแถบเหลือง) รวมอยู่ด้วย ทำให้สะดวกและปลอดภัยในการติดตั้งสำหรับระบบไฟฟ้าที่ต้องการการต่อลงดิน เช่น ระบบไฟฟ้า 3 เฟส 4 สาย ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม อาคารขนาดใหญ่ หรือบ้านพักอาศัย
การใช้งานสายไฟ NYY,NYY-G ที่ถูกต้องและปลอดภัย
ด้วยคุณสมบัติที่หลากหลาย ทำให้สาย NYY,NYY-G สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้หลายรูปแบบ ซึ่งการเลือกวิธีการติดตั้งที่ถูกต้องจะช่วยยืดอายุการใช้งานและรับประกันความปลอดภัยของระบบไฟฟ้า
- การเดินสายฝังดินโดยตรง เป็นวิธีการติดตั้งที่นิยมที่สุดสำหรับสายไฟ NYY,NYY-G เนื่องจากคุณสมบัติที่ทนทาน ทำให้สามารถขุดร่องและวางสายลงไปในดินได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องร้อยท่อ ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการติดตั้ง
- การร้อยท่อฝังดินหรือฝังในผนังคอนกรีต สำหรับพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการกระทบกระเทือนทางกายภาพ เช่น ใต้ถนน หรือพื้นที่ก่อสร้างการร้อยสาย NYY,NYY-G ในท่อโลหะหรือท่อ PVC สำหรับงานไฟฟ้า จะช่วยเพิ่มชั้นการป้องกันให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
- การเดินสายในอากาศ สามารถใช้เดินลอยในอากาศได้ โดยต้องมีการยึดจับสายกับผนังหรือโครงสร้างด้วยอุปกรณ์ที่เหมาะสม (Cable Gland หรือ เข็มขัดรัดสาย)
- การเดินบนรางเคเบิล (Cable Tray) เป็นวิธีการติดตั้งที่พบได้บ่อยในโรงงานอุตสาหกรรมหรืออาคารขนาดใหญ่ ช่วยให้การจัดระเบียบสายไฟทำได้ง่าย และสะดวกต่อการบำรุงรักษาในอนาคต
ข้อควรรู้และข้อควรระวังในการติดตั้งสาย NYY,NYY-G
เพื่อให้การใช้งานสาย NYY,NYY-G เป็นไปอย่างเต็มประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงสุด มีข้อควรพิจารณาที่สำคัญดังนี้
- เลือกขนาดสายไฟให้เหมาะสม ควรเลือกขนาดพื้นที่หน้าตัดของตัวนำ (ตารางมิลลิเมตร) ให้สอดคล้องกับปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ต้องใช้งาน เพื่อป้องกันปัญหาสายร้อนเกินไปจนเกิดอันตราย
- ติดตั้งโดยผู้เชี่ยวชาญ การติดตั้งระบบไฟฟ้า โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับการฝังดิน ควรดำเนินการโดยช่างไฟฟ้าที่มีความรู้ความชำนาญ
- ตรวจสอบมาตรฐาน มอก. ก่อนตัดสินใจซื้อ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าสายไฟ NYY,NYY-G นั้นผ่านมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มอก. 11 เล่ม 101-2553 เพื่อรับประกันคุณภาพ
- หลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยง ไม่ควรติดตั้งสายในพื้นที่ที่มีการสั่นสะเทือนรุนแรงตลอดเวลา หรือบริเวณที่สัมผัสกับสารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรงโดยไม่มีการป้องกันเพิ่มเติม
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสาย NYY,NYY-G
สาย NYY,NYY-G ทนทานแค่ไหน?
สาย NYY ถูกออกแบบมาให้มีความทนทานสูงมาก ด้วยโครงสร้างเปลือก PVC สองชั้น ทำให้ทนต่อแรงกดทับ การขูดขีด สภาพอากาศที่รุนแรง ความชื้น และการกัดกร่อนจากสารเคมีในดินได้เป็นอย่างดี จึงมีอายุการใช้งานที่ยาวนานหลายสิบปีหากติดตั้งอย่างถูกวิธี ถือเป็นหนึ่งในสายไฟฟ้าที่ทนทานที่สุดสำหรับการติดตั้งแบบถาวร
สาย NYY ต่างจากสาย VCT อย่างไร?
สาย NYY และสาย VCT แม้จะหุ้มด้วย PVC เหมือนกัน แต่มีโครงสร้างและการใช้งานที่ต่างกันอย่างชัดเจน
- โครงสร้าง สาย NYY มีเปลือก 2 ชั้นและมีความแข็งแรงทนทานสูง ไม่มีความยืดหยุ่นมากนัก ส่วนสาย VCT มีเปลือกชั้นเดียวและตัวนำเป็นทองแดงฝอยละเอียด ทำให้มีความอ่อนตัวและยืดหยุ่นสูงกว่ามาก
- การใช้งาน สาย NYY เหมาะสำหรับงานติดตั้งถาวร เช่น การเดินฝังดินหรือยึดติดกับผนัง ส่วนสาย VCT เหมาะสำหรับงานที่ต้องการการเคลื่อนย้ายบ่อยๆ เช่น สายสำหรับเครื่องจักร หรือสายปลั๊กพ่วง
สาย IEC 10 กับ NYY ต่างกันอย่างไร?
โครงสร้างวัสดุเหมือนกันแต่ แรงดันไฟฟ้าที่กำหนดไม่เท่ากัน IEC 10 จะกำหนดไว้ 300/500 V ส่วน NYY กำหนดไว้ 450/750 V แตกต่างกันที่ความหนาของฉนวน, เปลือกในและเปลือกนอก

สรุปบทความ
จะเห็นได้ว่าสาย NYY,NYY-G คือสายไฟฟ้าที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในงานวิศวกรรมไฟฟ้า ด้วยโครงสร้างที่แข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ ทำให้เป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับงานที่ต้องการความน่าเชื่อถือสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำสาย NYY,NYY-G ใช้เดินฝังดินได้โดยตรง ซึ่งช่วยลดขั้นตอนและต้นทุนในการติดตั้ง การทำความเข้าใจประเภทและวิธีการใช้งานที่ถูกต้อง จะช่วยให้ระบบไฟฟ้าของคุณมีความปลอดภัยและมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน
สำหรับผู้ประกอบการหรือวิศวกรที่กำลังมองหาสายไฟ NYY,NYY-G และสายไฟฟ้าคุณภาพสูงประเภทอื่นๆ ที่ได้มาตรฐานสากล Fuhrer พร้อมเป็นคู่ค้าที่เชื่อถือได้ ด้วยประสบการณ์กว่า 3 ทศวรรษ และความไว้วางใจจากโครงการสำคัญทั้งภาครัฐและเอกชน เรามุ่งมั่นที่จะส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงแต่มีคุณภาพ แต่ยังมาพร้อมกับบริการและความเชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษา เพื่อให้ทุกโครงการของคุณประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน
สายไฟ THW เป็นหนึ่งในสายไฟฟ้าพื้นฐานที่ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายที่สุด ทั้งในอาคารบ้านเรือนไปจนถึงโรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นและมาตรฐานที่เชื่อถือได้ ทำให้เป็นตัวเลือกแรกๆ ที่ช่างไฟและวิศวกรนึกถึง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าระบบไฟฟ้าของคุณจะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงสุด บทความนี้ Fuhrer จะพาไปเจาะลึกทุกแง่มุมของสาย THW ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐาน ประเภทต่างๆ ตารางสายไฟ THW ไปจนถึงวิธีการเลือกและคำนวณเพื่อให้เหมาะสมกับงานแต่ละประเภท
สายไฟ THW คืออะไร?
สายไฟ THW คือ สายไฟฟ้าตัวนำทองแดงแกนเดียว หุ้มด้วยฉนวน PVC (Polyvinyl Chloride) จัดเป็นสายไฟฟ้าแรงดันต่ำ (Low Voltage) ที่ใช้ในงานเดินสายทั่วไปภายในอาคาร สามารถทนแรงดันไฟฟ้าได้สูงสุด 750 โวลต์ และทนอุณหภูมิได้ 70 องศาเซลเซียส ชื่อ “THW” ไม่ได้เป็นเพียงชื่อเรียก แต่เป็นตัวย่อที่บ่งบอกถึงคุณสมบัติสำคัญของสายไฟชนิดนี้โดยตรง ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าใจคุณสมบัติเบื้องต้นได้ทันที ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้กันในระดับสากล
โครงสร้างและส่วนประกอบของสายไฟ THW
โครงสร้างของสายไฟ THW ถูกออกแบบมาอย่างเรียบง่ายแต่เปี่ยมประสิทธิภาพ เพื่อให้การนำไฟฟ้าเป็นไปอย่างดีเยี่ยมและมีความปลอดภัยสูง โดยมีส่วนประกอบหลักที่สำคัญเพียง 2 ส่วนดังนี้
ตัวนำ (Conductor)
ทำจากทองแดงที่มีความบริสุทธิ์สูง ช่วยให้นำไฟฟ้าได้ดีเยี่ยมและลดการสูญเสียพลังงาน มีทั้งรูปแบบตัวนำทองแดงเส้นเดียว (Solid) สำหรับขนาดสายไฟ THW เล็กๆ เพื่อให้ง่ายต่อการติดตั้ง และรูปแบบตัวนำตีเกลียว (Stranded) สำหรับสายขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและทนทานต่อแรงสั่นสะเทือน
ฉนวน (Insulation)
ผลิตจาก PVC (Polyvinyl Chloride) คุณภาพสูง มีคุณสมบัติเป็นฉนวนไฟฟ้าที่ดีเยี่ยม ทนทานต่อการขีดข่วน การเสียดสี และสามารถป้องกันความชื้นได้ดี ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้กระแสไฟฟ้ารั่วไหลออกจากตัวนำ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ ฉนวนของสาย THW นี้เองที่ทำให้มันมีคุณสมบัติทนความร้อนและกันน้ำได้ตามมาตรฐาน
มาตรฐาน มอก. 11 เล่ม 3-2553 ที่ต้องรู้เกี่ยวกับสาย THW
เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ในคุณภาพและความปลอดภัยสายไฟ THW ที่ผลิตและจัดจำหน่ายในประเทศไทยจะต้องได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ มอก. 11 เล่ม 3-2553 ซึ่งเป็นมาตรฐานที่กำหนดคุณสมบัติสำคัญต่างๆ ของสายไฟฟ้าหุ้มฉนวนพีวีซี แรงดันไฟฟ้าไม่เกิน 750 โวลต์ โดยครอบคลุมตั้งแต่ชนิดของตัวนำ, ความหนาของฉนวน, ความทนทานต่อแรงดันไฟฟ้า, และการทนต่ออุณหภูมิ การเลือกใช้สาย THW ที่มีเครื่องหมาย มอก. จึงเป็นการการันตีว่าสายไฟเส้นนั้นมีคุณภาพและปลอดภัยตามข้อกำหนด
ประเภทของสายไฟ THW
แม้จะเรียกรวมๆ ว่า สายไฟ THW แต่ในทางเทคนิคตามมาตรฐาน มอก. 11 เล่ม 3-2553 สามารถแบ่งย่อยตามลักษณะของตัวนำทองแดงได้เป็น 2 ประเภทหลัก ซึ่งมีผลต่อความยืดหยุ่นและการนำไปใช้งานเล็กน้อย ดังนี้
THW (60227 IEC 01)
เป็น สาย THW ที่ใช้ตัวนำทองแดงแกนเดียว (Solid wire) ลักษณะจะเป็นลวดทองแดงเส้นแข็งเส้นเดียว มักพบใน ขนาดสายไฟ THW ตั้งแต่ 1.5 ตร.มม. ถึง 400 ตร.มม. เหมาะสำหรับงานเดินสายที่ถาวร ไม่มีการขยับหรือโค้งงอบ่อยๆ เช่น การเดินสายในท่อร้อยสายฝังผนัง
THW-f (60227 IEC 02)
เป็น สาย THW ที่ใช้ตัวนำทองแดงฝอยตีเกลียว หรือทองแดงตีเกลียว (Flexible or Stranded wire) ประกอบด้วยลวดทองแดงเส้นเล็กๆ จำนวนมากพันกันเป็นเกลียว พบได้ในทุกขนาด มีข้อดีคือมีความอ่อนตัวและยืดหยุ่นสูง ทนทานต่อการสั่นสะเทือนได้ดีกว่า จึงเหมาะกับงานที่ต้องมีการโค้งงอของสายไฟ หรือการเดินสายในตู้ควบคุม (MDB) ที่ต้องการความสะดวกในการเชื่อมต่ออุปกรณ์
สำหรับขนาดสายไฟ THW-f มีพิกัดการทนกระแสสูงสุดโดยประมาณตามตารางดังนี้
| ขนาดสาย ( ตร.มม. ) | ขนาดกระแส ( แอมแปร์ ) |
| 1.5 | 21 |
| 2.5 | 29 |
| 4 | 37 |
| 6 | 48 |
| 10 | 67 |
| 16 | 92 |
| 25 | 127 |
| 35 | 157 |
| 50 | 191 |
| 70 | 244 |
| 95 | 297 |
| 120 | 345 |
| 150 | 397 |
| 185 | 453 |
| 240 | 535 |
| 300 | 617 |
| 400 | 741 |

ขนาดสายไฟ THW และการทนกระแสไฟฟ้า
การเลือกขนาดสายไฟ THW ให้ถูกต้องเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะสาย THW แต่ละขนาดมีความสามารถในการรองรับปริมาณกระแสไฟฟ้า (แอมป์) ได้ไม่เท่ากัน หากเลือกสายขนาดเล็กเกินไปสำหรับอุปกรณ์ที่กินไฟมาก อาจทำให้สายไฟร้อนจัด ฉนวนละลาย และนำไปสู่เหตุไฟฟ้าลัดวงจรหรือเพลิงไหม้ได้
ตารางสายไฟ THW ด้านล่างนี้ คือข้อมูลพิกัดการทนกระแสสูงสุดโดยประมาณ สำหรับการติดตั้งเดินสายในท่อร้อยสายในอากาศ ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมใช้กันทั่วไป
| ขนาดสาย ( ตร.มม. ) | ขนาดกระแส ( แอมแปร์ ) |
| 1 | 13 |
| 1.5 | 16 |
| 2.5 | 25 |
| 4 | 30 |
| 6 | 39 |
| 10 | 51 |
| 16 | 73 |
| 25 | 97 |
| 35 | 140 |
วิธีคำนวณสาย THW ให้เหมาะกับกระแสไฟฟ้า
นอกจากการดูจากตารางสายไฟ THW แล้ว การคำนวณหากระแสไฟฟ้าของอุปกรณ์ต่างๆ จะช่วยให้เลือกขนาดสายไฟ THW ได้อย่างแม่นยำและปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยสามารถใช้สูตรง่ายๆ ดังนี้
สูตรคำนวณกระแสไฟฟ้า (I) I = P / V
โดยที่
- I = กระแสไฟฟ้า (หน่วยเป็น แอมป์ หรือ A)
- P = กำลังไฟฟ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้า (หน่วยเป็น วัตต์ หรือ W)
- V = แรงดันไฟฟ้า (หน่วยเป็น โวลต์ หรือ V) โดยทั่วไปในประเทศไทยคือ 220V
ตัวอย่างการคำนวณ
หากต้องการติดตั้งเครื่องทำน้ำร้อนไฟฟ้าขนาด 4,500 วัตต์ (W) กับระบบไฟบ้าน 220 โวลต์ (V) จะต้องใช้ สาย THW ขนาดเท่าไหร่?
- แทนค่าในสูตร I = 4500 / 220
- ผลลัพธ์ I ≈ 20.45 แอมป์
จากนั้นนำค่ากระแสที่คำนวณได้ (20.45A) ไปเทียบกับ ตารางสายไฟ THW จะพบว่า สายไฟ THW ขนาด 2.5 ตร.มม. (ทนกระแสได้ 25A) เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับเครื่องทำน้ำร้อนนี้ เพราะสามารถรองรับกระแสไฟฟ้าได้สูงกว่าที่อุปกรณ์ต้องการใช้งาน
วิธีเลือกใช้สายไฟ THW ให้เหมาะสมและปลอดภัย
เพื่อให้การใช้งานสายไฟ THW เป็นไปอย่างถูกต้องและมีอายุการใช้งานยาวนาน นอกจากการเลือกขนาดให้เหมาะสมกับปริมาณกระแสไฟฟ้าแล้ว ยังต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย
เลือกจาก “โหลด” หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่จะใช้
ขั้นตอนแรกคือการสำรวจอุปกรณ์ไฟฟ้า (Load) ที่จะนำมาเชื่อมต่อกับ สาย THW นั้นๆ ว่ามีอัตราการกินไฟเท่าไหร่ โดยสามารถดูได้จากฉลากหรือคู่มือของอุปกรณ์ ซึ่งจะระบุเป็นวัตต์ (W) หรือแอมป์ (A) จากนั้นจึงนำข้อมูลมาคำนวณหรือเทียบกับตารางสายไฟ THW เพื่อหา ขนาดสายไฟ THW ที่เหมาะสม โดยต้องเลือกขนาดที่ทนกระแสได้ “สูงกว่า” กระแสที่อุปกรณ์ต้องการเสมอ เพื่อเป็นค่าความปลอดภัย (Safety Factor)
เลือกตาม “ลักษณะการติดตั้ง”
สายไฟ THW มีข้อกำหนดในการติดตั้งที่ชัดเจนเพื่อความปลอดภัยสูงสุด การติดตั้งผิดวิธีอาจทำให้สายไฟชำรุดและเกิดอันตรายได้
วิธีที่ควรใช้
- เดินร้อยท่อ เหมาะสมที่สุดสำหรับการเดินสาย THW ไม่ว่าจะเป็นท่อ PVC (สีเหลือง/ขาว) หรือท่อโลหะ EMT/IMC สามารถติดตั้งได้ทั้งแบบฝังในผนังคอนกรีตและแบบเดินลอยเกาะผนัง
- เดินในราง Wireway หรือ Cable Tray เหมาะสำหรับงานในโรงงานอุตสาหกรรมหรืออาคารขนาดใหญ่ที่ต้องเดินสายไฟจำนวนมาก
วิธีที่ห้ามใช้
- ห้ามฝังดินโดยตรง ฉนวน PVC ของสายไฟ THW ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทนทานต่อความชื้นและแรงกดทับใต้ดินโดยตรง หากต้องการเดินสายใต้ดิน ต้องร้อยท่อกันน้ำที่มีมาตรฐานเหมาะสมเท่านั้น
- ห้ามเดินตีกิ๊บเกาะผนัง การเดินสายโดยใช้กิ๊บยึดติดกับผนังโดยตรงเป็นวิธีที่ผิดและอันตราย เนื่องจากฉนวนชั้นเดียวอาจเสียหายจากการตอกหรือการกดทับ ทำให้เกิดไฟรั่วได้ง่าย
สีของสายไฟ THW บอกอะไร?
ตามมาตรฐาน มอก. ล่าสุด ได้มีการกำหนดสีของฉนวนสายไฟเพื่อให้ง่ายต่อการติดตั้งและซ่อมบำรุงอย่างปลอดภัย การรู้จักความหมายของแต่ละสีจึงเป็นสิ่งสำคัญ
- น้ำตาล, ดำ, เทา ใช้เป็นสายเส้นไฟ (Line) ที่มีกระแสไฟฟ้าไหลอยู่
- ฟ้า ใช้เป็นสายนิวทรัล (Neutral)
- เขียวแถบเหลือง ใช้เป็นสายดิน (Ground) เพื่อความปลอดภัย
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสายไฟ THW
สาย THW กับ VAF ต่างกันอย่างไร?
สายไฟ THW เป็นสายแกนเดียวที่มีฉนวน PVC ชั้นเดียว เหมาะสำหรับงานที่ต้องเดินร้อยท่อ ส่วนสาย VAF (หรือสายขาว) จะมีลักษณะเป็นสายแบน มี 2-3 แกน และมีเปลือกหุ้มฉนวนอีกชั้นหนึ่ง ทำให้เหมาะกับการเดินตีกิ๊บเกาะผนัง แต่ไม่เหมาะกับการเดินร้อยท่อเพราะระบายความร้อนได้ไม่ดีเท่า สาย THW
สาย THW ใช้กับไฟ 3 เฟสได้หรือไม่?
ได้ สายไฟ THW สามารถใช้กับระบบไฟฟ้า 3 เฟส ได้เป็นอย่างดี โดยใช้สายสีน้ำตาล, ดำ, และเทา เป็นสายเฟส (L1, L2, L3) ตามลำดับ, สีฟ้าเป็นสายนิวทรัล (N) และสีเขียวแถบเหลืองเป็นสายดิน (G) ซึ่งเป็นรูปแบบมาตรฐานที่ใช้กันในโรงงานและอาคารขนาดใหญ่
สายไฟ THW ขนาด 2.5 ทนไฟฟ้าได้กี่แอมป์
โดยทั่วไปสายไฟ THW สำหรับการติดตั้งในท่อร้อยสายในอากาศ สายไฟ THW ขนาด 2.5 ตร.มม. จะสามารถทนกระแสไฟฟ้าได้สูงสุดประมาณ 20 แอมป์ ขึ้นอยู่กับรูปแบบการติดตั้ง
สายไฟ THW 2.5 เหมาะกับอะไร
สายไฟ THW ขนาด 2.5 ตร.มม. เป็นขนาดที่นิยมใช้มากที่สุดสำหรับวงจรเต้ารับไฟฟ้าภายในบ้านและอาคาร สามารถใช้ได้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าหลากหลายชนิด เช่น โทรทัศน์, พัดลม, คอมพิวเตอร์, ตู้เย็น, ไมโครเวฟ ไปจนถึงเครื่องปรับอากาศขนาดเล็กที่กินกระแสไม่เกินพิกัด

สรุปบทความ
สายไฟ THW คือสายไฟฟ้าอเนกประสงค์ที่เป็นรากฐานสำคัญของระบบไฟฟ้าที่ปลอดภัยและมีมาตรฐาน การทำความเข้าใจตั้งแต่โครงสร้าง, ประเภท, การอ่านค่าจาก ตารางสายไฟ THW, ไปจนถึงการเลือกขนาดสายไฟ THW และติดตั้งให้ถูกวิธี ล้วนเป็นปัจจัยที่จะช่วยให้ระบบไฟฟ้าทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานที่สุด
สำหรับผู้รับเหมา วิศวกร หรือเจ้าของโครงการที่กำลังมองหา สาย THW คุณภาพสูงที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากล Fuhrer ด้วยประสบการณ์ยาวนานกว่า 3 ทศวรรษและความไว้วางใจจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนชั้นนำมากมาย เรามุ่งมั่นที่จะส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงแต่มีคุณภาพ แต่ยังมาพร้อมกับบริการและความเชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษา เพื่อให้ทุกโครงการของคุณประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน