การเดินสายไฟเปรียบเสมือนการสร้างเครือข่ายเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงอาคารและเครื่องจักร การมีสายไฟหลากหลายสีสายไฟ อาจทำให้เกิดความสับสนไม่น้อยสำหรับผู้ที่ไม่ได้คลุกคลีในวงการ ว่าสายไฟแต่ละสีนั้นมีความหมายอย่างไร และควรเลือกใช้งานอย่างไรให้ถูกต้องและปลอดภัย วันนี้ Fuhrer ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสายไฟฟ้าคุณภาพสูง ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน จะมาไขข้อกระจ่างเกี่ยวกับมาตรฐานสีสายไฟ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าใจและนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมั่นใจ
ถอดรหัสความหมายสีสายไฟตามมาตรฐานใหม่
เพื่อความเป็นสากล ประเทศไทยได้มีการปรับปรุงมาตรฐานสีสายไฟ โดยอ้างอิงตามมาตรฐาน มอก. 11-2553 ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐาน IEC 60227 ทำให้สีสายไฟในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปจากมาตรฐานเดิม (มอก. 11-2531) การทำความเข้าใจมาตรฐานใหม่นี้จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

ระบบไฟฟ้า 1 เฟส (ที่ใช้ตามบ้านเรือนทั่วไป)
ระบบไฟฟ้า 1 เฟส 2 สาย (หรือ 3 สาย รวมสายดิน) เป็นระบบที่คุ้นเคยกันดีในบ้านพักอาศัย อาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก หรือคอนโดมิเนียม โดยทั่วไปจะจ่ายแรงดันไฟฟ้าที่ 220-230 โวลต์ การทำความเข้าใจสีสายไฟในระบบนี้จึงใกล้ตัวเรามากที่สุด โดยมีรายละเอียดดังนี้
สายเฟส (L – Line): สีน้ำตาล
นี่คือสาย “เส้นที่มีไฟ” ทำหน้าที่นำกระแสไฟฟ้าและแรงดันไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายไฟมายังอุปกรณ์ไฟฟ้า เป็นสายที่อันตรายที่สุด หากสัมผัสโดยตรงจะถูกไฟฟ้าดูด ในการติดตั้งสวิตช์ไฟ จะต้องต่อสวิตช์เพื่อตัดวงจรที่สายเส้นนี้เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อปิดสวิตช์แล้ว จะไม่มีกระแสไฟไปรอที่ขั้วหลอดไฟ การใช้สายไฟประเภทสาย THW เป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับการเดินสายเฟสในท่อร้อยสายไฟภายในอาคาร เนื่องจากเป็นสายแกนเดี่ยวที่ทนทานและนำไฟฟ้าได้ดี
สายนิวทรัล (N – Neutral): สีฟ้า
นี่คือสาย “เส้นที่ไม่มีไฟ” (หรือ “สายเย็น”) ทำหน้าที่เป็นสายที่นำกระแสไฟฟ้าไหลกลับไปยังแหล่งจ่ายไฟเพื่อให้วงจรครบถ้วน แม้ว่าตามทฤษฎีสายนิวทรัลจะมีศักย์ไฟฟ้าเป็นศูนย์โวลต์ (เทียบกับดิน) แต่ในทางปฏิบัติ ห้ามสัมผัสสายนี้โดยตรงเด็ดขาด เพราะหากมีกระแสไฟฟ้าไหลในวงจร (แม้จะปิดสวิตช์แต่ตัดแค่สาย L) หรือหากเกิดความไม่สมดุลในระบบ สายนี้ก็อาจมีแรงดันไฟฟ้าและเป็นอันตรายได้
สายดิน (G – Ground): สีเขียวแถบเหลือง
นี่คือสาย “สายป้องกัน” ที่มีความสำคัญต่อชีวิตอย่างยิ่ง ทำหน้าที่เชื่อมต่อโครงโลหะของเครื่องใช้ไฟฟ้าลงไปยังหลักดินที่ฝังอยู่ในพื้นดิน ในสภาวะปกติจะไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟฟ้ารั่ว (เช่น ฉนวนสายไฟชำรุด ทำให้กระแสไฟสัมผัสกับโครงเครื่อง) กระแสไฟที่รั่วออกมาจะไหลผ่านสายดินนี้ลงพื้นดินอย่างรวดเร็ว ทำให้เครื่องตัดไฟรั่ว (RCD/RCBO) ทำงาน และตัดวงจรไฟฟ้าทันที ป้องกันไม่ให้ผู้ใช้งานถูกไฟฟ้าดูด การใช้สีสายไฟนี้จึงเป็นข้อบังคับที่ห้ามละเลย

ระบบไฟฟ้า 3 เฟส (ที่ใช้ในอาคารขนาดใหญ่และโรงงาน)
ระบบไฟฟ้า 3 เฟส 4 สาย (หรือ 5 สาย รวมสายดิน) เป็นระบบที่ใช้สำหรับสถานที่ที่ต้องการกำลังไฟฟ้าสูง เช่น โรงงานอุตสาหกรรม อาคารสำนักงานขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้า หรือโรงพยาบาล ระบบนี้จ่ายแรงดันไฟฟ้าระหว่างสายเฟสที่ 380-400 โวลต์ และแรงดันระหว่างสายเฟสกับนิวทรัลที่ 220-230 โวลต์ การระบุสีสายไฟในระบบนี้มีความซับซ้อนกว่า แต่ก็จำเป็นอย่างยิ่งยวดเพื่อความปลอดภัยและการจ่ายไฟที่สมดุล
สายเฟส (L1): สีน้ำตาล
สายเฟสที่ 1 ในระบบ 3 เฟส ทำหน้าที่นำกระแสไฟฟ้าเช่นเดียวกับระบบ 1 เฟส แต่เป็นหนึ่งในสามของแหล่งจ่ายไฟที่สลับกัน
สายเฟส (L2): สีดำ
สายเฟสที่ 2 ในระบบ 3 เฟส มีหน้าที่เช่นเดียวกับ L1 แต่มีมุมเฟสของคลื่นไฟฟ้าต่างกัน (ปกติคือ 120 องศา)
สายเฟส (L3): สีเทา
สายเฟสที่ 3 ในระบบ 3 เฟส ทำหน้าที่เช่นเดียวกับ L1 และ L2 แต่มีมุมเฟสต่างออกไปอีก 120 องศา การเรียงลำดับเฟส (Phase Sequence) ของ L1, L2, L3 (น้ำตาล, ดำ, เทา) มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำงานของมอเตอร์ 3 เฟส หากสลับกันอาจทำให้มอเตอร์หมุนกลับทาง
สายนิวทรัล (N): สีฟ้า
ในระบบ 3 เฟส (แบบ Wye หรือ Star) สายนิวทรัลทำหน้าที่เป็นจุดร่วมและเป็นทางเดินของกระแสไฟฟ้าในกรณีที่โหลดในแต่ละเฟสไม่สมดุล (Unbalanced Load) และยังเป็นจุดที่ให้แรงดัน 220V (เทียบกับเฟส) สำหรับใช้งานกับระบบแสงสว่างหรือปลั๊กไฟทั่วไป
สายดิน (G): สีเขียวแถบเหลือง
ทำหน้าที่ป้องกันไฟฟ้ารั่วเช่นเดียวกับระบบ 1 เฟส แต่มีความสำคัญมากขึ้นเนื่องจากระดับพลังงานและแรงดันไฟฟ้าในระบบ 3 เฟสสูงกว่ามาก การมีระบบสายดินที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นหัวใจของความปลอดภัยในโรงงานอุตสาหกรรม สำหรับการเดินสายระบบ 3 เฟส มักนิยมใช้สายไฟฟ้ากำลังชนิดหุ้มฉนวนหลายชั้น เช่น สาย CV (สาย XLPE) หรือ สาย NYY, NYY-G (สาย PVC) ซึ่งมีความทนทานสูงและมักมีสายดิน (G) รวมอยู่ในโครงสร้างสายเคเบิลด้วย (เช่น NYY-G)
ระบบไฟฟ้ากระแสตรง (DC)
นอกเหนือจากไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ที่ใช้ตามบ้านและโรงงานแล้ว ระบบไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ก็มีความสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะในระบบโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่สำรองไฟ (UPS) ระบบสื่อสารโทรคมนาคม หรือในยานยนต์ไฟฟ้า การกำหนดสีสายไฟสำหรับระบบ DC ก็มีมาตรฐานเช่นกัน เพื่อป้องกันการต่อสลับขั้วที่อาจสร้างความเสียหายร้ายแรงต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ขั้วบวก (+): สีแดง
เป็นสายที่นำศักย์ไฟฟ้าบวก (+) จากแหล่งจ่ายไฟ DC (เช่น แบตเตอรี่ หรือ แผงโซลาร์เซลล์) ไปยังโหลดหรืออุปกรณ์ การระบุสีแดงสำหรับขั้วบวกเป็นมาตรฐานที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดทั่วโลก
ขั้วลบ (-): สีดำ หรือ สีน้ำเงิน (ฟ้า)
เป็นสายที่นำศักย์ไฟฟ้าลบ (-) หรือเป็นสายที่ต่อกลับไปยังขั้วลบของแหล่งจ่ายไฟเพื่อให้วงจรครบ โดยทั่วไปมักใช้ สีดำ เป็นมาตรฐานหลักสำหรับขั้วลบในระบบ DC อย่างไรก็ตาม ในบางระบบ (โดยเฉพาะระบบที่เกี่ยวข้องกับโทรคมนาคมหรือระบบที่มีการต่อลงดินที่ขั้วบวก) อาจใช้ สีน้ำเงิน (ฟ้า) เพื่อแทนขั้วลบ แต่ต้องระมัดระวังไม่ให้สับสนกับสายนิวทรัล (สีฟ้า) ในระบบ AC
ตารางสรุปมาตรฐานสีสายไฟ เข้าใจง่ายในภาพเดียว
เพื่อให้เห็นภาพและจดจำได้ง่ายขึ้น เราได้สรุปสีสายไฟตามมาตรฐานใหม่ (มอก. 11-2553) เปรียบเทียบกับมาตรฐานเก่า (มอก. 11-2531) และระบบ DC เพื่อให้สามารถอ้างอิงได้อย่างรวดเร็ว
| ระบบไฟฟ้า | หน้าที่ของสาย (ตัวย่อ) | มาตรฐานใหม่ (มอก. 11-2553) | มาตรฐานเก่า (มอก. 11-2531) |
| 1 เฟส (AC) | สายเฟส (L) | สีน้ำตาล | สีดำ |
| สายนิวทรัล (N) | สีฟ้า | สีเทา หรือ สีขาว | |
| สายดิน (G) | สีเขียวแถบเหลือง | สีเขียว หรือ สีเขียวแถบเหลือง | |
| 3 เฟส (AC) | สายเฟส 1 (L1) | สีน้ำตาล | สีดำ |
| สายเฟส 2 (L2) | สีดำ | สีแดง | |
| สายเฟส 3 (L3) | สีเทา | สีน้ำเงิน (ฟ้า) | |
| สายนิวทรัล (N) | สีฟ้า | สีเทา หรือ สีขาว | |
| สายดิน (G) | สีเขียวแถบเหลือง | สีเขียว หรือ สีเขียวแถบเหลือง | |
| กระแสตรง (DC) | ขั้วบวก (+) | สีแดง | (อ้างอิงมาตรฐานสากล) |
| ขั้วลบ (-) | สีดำ (หรือ สีฟ้า/น้ำเงิน) | (อ้างอิงมาตรฐานสากล) |
การทำความเข้าใจตารางเปรียบเทียบนี้มีประโยชน์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อต้องเข้าไปทำงานซ่อมบำรุงในอาคารเก่าที่ยังใช้สีสายไฟตามมาตรฐานเดิม การทราบว่าสีใดถูกแทนที่ด้วยสีใด จะช่วยป้องกันการต่อสลับสายที่อาจเกิดขึ้นได้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสีสายไฟ
ทำไมต้องเปลี่ยนมาตรฐานสีสายไฟใหม่ (มอก. 11-2553)
เหตุผลหลักในการเปลี่ยนแปลงคือ ความปลอดภัย และ ความเป็นสากล ในอดีต ประเทศไทยมีมาตรฐานสีของตนเอง (เช่น L เป็นสีดำ, N เป็นสีเทา) แต่ในปัจจุบันมีการนำเข้าอุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องจักรจากต่างประเทศ (โดยเฉพาะยุโรป) มากขึ้น ซึ่งใช้มาตรฐานสีแบบ IEC (L เป็นสีน้ำตาล, N เป็นสีฟ้า)
การใช้มาตรฐานที่แตกต่างกันสร้างความสับสนอย่างมากในการติดตั้งและซ่อมบำรุง และอาจนำไปสู่การต่อสายไฟผิดพลาดซึ่งอันตรายถึงชีวิต การปรับปรุงมาตรฐานสีสายไฟให้เป็นหนึ่งเดียวจึงช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ และทำให้ช่างไฟฟ้าและวิศวกรสามารถทำงานได้ถูกต้องตามหลักสากล
บ้านเก่าที่เดินสายไฟตามมาตรฐานเดิม จำเป็นต้องเปลี่ยนสายไฟใหม่ทั้งหมดหรือไม่
หากระบบสายไฟเดิมยังคงอยู่ในสภาพดี ฉนวนไม่เสื่อมสภาพ (ไม่แตกร้าวหรือกรอบ) และยังใช้งานได้อย่างปลอดภัย ก็ยัง “ไม่จำเป็น” ต้องรื้อถอนเพื่อเปลี่ยนสีสายไฟใหม่ในทันที
อย่างไรก็ตาม หากมีการปรับปรุง ต่อเติม หรือซ่อมแซมระบบไฟฟ้าในจุดใดจุดหนึ่ง สายไฟที่ติดตั้ง “ใหม่” ทั้งหมด จะต้องใช้สีตามมาตรฐาน มอก. 11-2553 (มาตรฐานใหม่) เท่านั้น
สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องพึงระวังคือ บริเวณจุดเชื่อมต่อ ระหว่างสายไฟเก่าและใหม่ ช่างไฟฟ้าต้องมีความระมัดระวังสูงสุดในการระบุสายไฟเก่าให้ถูกต้อง (L, N, G) ก่อนทำการเชื่อมต่อ และควรมีการทำเครื่องหมายหรือบันทึกไว้ให้ชัดเจน เพื่อป้องกันความสับสนที่อาจนำไปสู่อันตรายร้ายแรงในอนาคต
จะเกิดอะไรขึ้นหากต่อสายไฟผิดสี
นี่คือหนึ่งในความผิดพลาดที่ “อันตรายร้ายแรงที่สุด” ในการติดตั้งระบบไฟฟ้า และต้องไม่เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด หากมีการต่อสลับกันระหว่างสายนิวทรัล (N) และสายดิน (G) จะส่งผลดังนี้:
- เครื่องตัดไฟรั่ว (RCD/RCBO) จะไม่ทำงาน อุปกรณ์ป้องกันไฟดูดเหล่านี้ทำงานโดยการตรวจสอบกระแสไฟที่ไหลเข้า (L) และไหลออก (N) หากกระแสไฟรั่ว (เช่น ไหลจาก L ไป G) มันจะตัดวงจรทันที แต่หากเราต่อ N สลับกับ G กลไกการตรวจจับนี้จะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
- เกิดไฟฟ้ารั่วที่โครงอุปกรณ์ โดยปกติกระแสไฟจะไหลกลับทางสายนิวทรัล (N) แต่เมื่อสลับกัน กระแสไฟใช้งานปกติจะพยายามไหลกลับทางสายดิน (G) แทน ซึ่งจะทำให้โครงโลหะของเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดในระบบ (เช่น ตู้เย็น, เครื่องซักผ้า, คอมพิวเตอร์) ที่ต่อกับสายดิน “มีไฟ” ตลอดเวลา
- เสี่ยงต่อการถูกไฟฟ้าดูดถึงชีวิต เมื่อผู้ใช้งานไปสัมผัสโครงเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านั้น กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านร่างกายผู้สัมผัสลงสู่พื้นทันที ทำให้ถูกไฟฟ้าดูดอย่างรุนแรง
หากไม่แน่ใจสีสายไฟในอาคารเก่า หรือสีซีดจาง มีวิธีตรวจสอบอย่างไร
ห้ามคาดเดาสีสายไฟที่ซีดจางหรือไม่ชัดเจนโดยเด็ดขาด การตรวจสอบที่ถูกต้อง “จำเป็นต้องใช้เครื่องมือวัดทางไฟฟ้า” และต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญหรือช่างไฟฟ้าที่มีความชำนาญเท่านั้น
วิธีการตรวจสอบที่ถูกต้อง คือการใช้ มัลติมิเตอร์ (Multimeter) ในการวัดแรงดันไฟฟ้า (Voltage) โดยมีหลักการ (ในระบบ 1 เฟส) ดังนี้:
- การหา L (สายเฟส) ใช้มัลติมิเตอร์วัดแรงดันเทียบระหว่างสายที่สงสัยกับจุดที่มั่นใจว่าเป็นสายดิน (G) หรือสายนิวทรัล (N)
- วัดแรงดันระหว่าง L กับ N: ควรรีค่าได้ประมาณ 220-230V
- วัดแรงดันระหว่าง L กับ G: ควรรีค่าได้ประมาณ 220-230V
- การยืนยัน N และ G
- วัดแรงดันระหว่าง N กับ G: ควรรีค่าได้ “ใกล้เคียง 0V” มากที่สุด (ในระบบที่ปกติ)
เนื่องจากการตรวจสอบนี้ต้องทำงานกับกระแสไฟฟ้าจริงและมีความซับซ้อนสูง (เช่น อาจเจอกรณี N ลอย หรือ G ไม่มีประสิทธิภาพ) จึงย้ำว่า ควรให้ช่างไฟฟ้าผู้ชำนาญการเป็นผู้ดำเนินการเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

สรุปบทความ
มาตรฐานสีสายไฟ ไม่ใช่เป็นเพียงข้อกำหนดทางเทคนิคที่ซับซ้อน แต่เป็น “ภาษาสากลแห่งความปลอดภัย” ที่ช่วยให้การติดตั้ง การใช้งาน และการบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าเป็นไปอย่างถูกต้อง ลดความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน การทำความเข้าใจความหมายของสีสายไฟในแต่ละระบบ ทั้ง 1 เฟส, 3 เฟส และ DC ตามมาตรฐาน มอก. 11-2553 จึงเป็นความรู้พื้นฐานที่สำคัญสำหรับทุกคน
สำหรับผู้ประกอบการ เจ้าของโครงการ หรือวิศวกร ที่กำลังมองหาสายไฟฟ้าคุณภาพสูงที่ผลิตตาม มาตรฐานสายไฟ สากลอย่างเคร่งครัด Fuhrer คือพันธมิตรที่พร้อมให้บริการ ด้วยประสบการณ์ในฐานะผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสายไฟฟ้าและสายเคเบิลชั้นนำ เรามุ่งมั่นส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพสูงสุด แต่ยังปลอดภัยสูงสุด ได้รับความไว้วางใจจากโครงการสำคัญทั้งหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนชั้นนำมากมายตลอดมา เลือก Fuhrer เพื่อวางรากฐานความปลอดภัยที่มั่นคงให้กับระบบไฟฟ้าของคุณ