ระบบไฟฟ้าเปรียบเสมือนเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงทุกกิจกรรมภายในบ้าน การทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชิ้นล้วนต้องพึ่งพาสายไฟคุณภาพสูงที่ติดตั้งอย่างถูกวิธี การเลือกใช้สายไฟที่ผิดประเภทหรือไม่ได้มาตรฐานจึงเป็นความเสี่ยงร้ายแรงที่อาจนำไปสู่เหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ไฟฟ้าลัดวงจรหรืออัคคีภัย บทความนี้ Fuhrer ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสายไฟฟ้าคุณภาพสูง จะพาไปทำความเข้าใจมาตรฐานสายไฟบ้านอย่างละเอียด เพื่อให้คุณสามารถเลือกสายไฟได้ถูกต้อง ปลอดภัย เหมาะสมกับการใช้งาน และมั่นใจได้ในทุกจุดของบ้าน
ทำไมการเลือกสายไฟบ้านถึงสำคัญ
การใส่ใจในรายละเอียดตั้งแต่การเลือกสายไฟ คือรากฐานสำคัญของระบบไฟฟ้าที่มั่นคงและปลอดภัย การเลือกที่ถูกต้องส่งผลดีในหลายมิติมากกว่าที่คิด ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ความปลอดภัยไปจนถึงประสิทธิภาพในระยะยาว
- ความปลอดภัยมาเป็นอันดับหนึ่ง หัวใจหลักของการเลือกสายไฟคือความปลอดภัย สายไฟฟ้าที่ไม่ได้มาตรฐานหรือมีขนาดเล็กเกินกว่าปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่าน จะเกิดความร้อนสะสมสูงจนฉนวนหุ้มละลาย และเป็นสาเหตุหลักของไฟฟ้าลัดวงจรซึ่งอาจลุกลามเป็นอัคคีภัยสร้างความเสียหายใหญ่หลวงต่อชีวิตและทรัพย์สิน การเลือกสายไฟที่ได้มาตรฐานสายไฟบ้านจึงเป็นการป้องกันปัญหาจากต้นเหตุ
- ประสิทธิภาพการส่งกำลังไฟฟ้า สายไฟที่มีคุณภาพและขนาดที่เหมาะสม จะช่วยลดการสูญเสียแรงดันไฟฟ้าในสาย (Voltage Drop) ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าได้รับกระแสไฟฟ้าเต็มประสิทธิภาพ ทำงานได้ดีตามปกติ ไม่เกิดอาการไฟตกหรือไฟกระชากที่อาจทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เสียหาย และยังช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าในทางอ้อมอีกด้วย
- ความทนทานในระยะยาว บ้านหนึ่งหลังถูกออกแบบมาเพื่อการอยู่อาศัยที่ยาวนาน ระบบไฟฟ้าก็เช่นกัน การเลือกชนิดของสายไฟให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมการติดตั้ง เช่น การเดินสายในท่อร้อยสาย การเดินสายเกาะผนัง หรือการฝังดิน จะทำให้สายไฟมีความทนทานต่อปัจจัยต่างๆ ทั้งความร้อน ความชื้น และแรงกระแทก ยืดอายุการใช้งานของระบบไฟฟ้าโดยรวม ลดภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง
- เป็นไปตามข้อกำหนดกฎหมาย การติดตั้งระบบไฟฟ้าในปัจจุบันมีมาตรฐานควบคุมชัดเจนโดยการไฟฟ้าฯ และสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) การเลือกใช้สายไฟที่ผ่านมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) จึงเป็นการรับประกันว่าการติดตั้งนั้นถูกต้องตามหลักวิศวกรรมและข้อกฎหมาย สร้างความมั่นใจให้กับผู้อยู่อาศัย
รู้จักมาตรฐานสายไฟบ้านตาม มอก. 11-2559
เพื่อให้การติดตั้งและซ่อมบำรุงระบบไฟฟ้าเป็นไปในทิศทางเดียวกันและปลอดภัยสูงสุด สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) จึงได้กำหนดมาตรฐาน มอก. 11-2559 สำหรับสายไฟขึ้นมา ซึ่งถือเป็นมาตรฐานบังคับที่ผู้ผลิตและผู้ใช้งานทุกคนต้องปฏิบัติตาม โดยมีรายละเอียดสำคัญที่ควรรู้ดังนี้
มาตรฐานสีของสายไฟ
การกำหนดสีของฉนวนหุ้มสายไฟมีจุดประสงค์เพื่อให้ช่างไฟฟ้าสามารถระบุหน้าที่ของสายแต่ละเส้นได้อย่างถูกต้อง ลดความผิดพลาดในการต่อวงจร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญด้านความปลอดภัย โดยมาตรฐานสีใหม่มีดังนี้
- สายเฟส (L) หรือสายมีไฟ ทำหน้าที่นำกระแสไฟฟ้าเข้าสู่วงจร ในระบบไฟฟ้า 1 เฟส จะใช้เพียงเส้นเดียว แต่ในระบบ 3 เฟส จะมี 3 เส้น ประกอบด้วย
- L1: สีน้ำตาล
- L2: สีดำ
- L3: สีเทา
- สายนิวทรัล (N) หรือสายศูนย์ ทำหน้าที่ทำให้กระแสไฟฟ้าไหลครบวงจร โดยตามทฤษฎีแล้วจะไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน (ยกเว้นกรณีโหลดไม่สมดุลในระบบ 3 เฟส) ถูกกำหนดให้เป็น สีฟ้า
- สายดิน (G) หรือสายกราวด์ เป็นสายที่เชื่อมต่อกับหลักดิน เพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้ารั่ว โดยจะนำกระแสไฟฟ้าที่รั่วไหลลงสู่พื้นดิน ถูกกำหนดให้เป็น สีเขียวแถบเหลือง
ขนาดของสายไฟที่ควรรู้จัก
ขนาดของสายไฟจะถูกระบุด้วยพื้นที่หน้าตัดของตัวนำทองแดง มีหน่วยเป็น “ตารางมิลลิเมตร” (sq.mm. หรือ mm²) การเลือกขนาดที่ถูกต้องเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้สายไฟสามารถรองรับปริมาณกระแสไฟฟ้าได้อย่างปลอดภัย โดยขนาดที่ใช้บ่อยในบ้านพักอาศัยมีดังนี้
- สายไฟ 1.5 sq.mm. เป็นขนาดมาตรฐานสำหรับวงจรแสงสว่าง เหมาะสำหรับจ่ายไฟให้กับหลอดไฟ โคมไฟ หรือพัดลมเพดาน ที่ใช้กระแสไฟฟ้าไม่สูงนัก
- สายไฟ 2.5 sq.mm. เป็นขนาดมาตรฐานสำหรับวงจรเต้ารับไฟฟ้าทั่วไป ใช้สำหรับจ่ายไฟให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ในบ้าน เช่น โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ ตู้เย็น พัดลมตั้งพื้น หรือปลั๊กพ่วง
- ขนาดอื่น ๆ ที่ใหญ่ขึ้น สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องการกำลังไฟสูงและใช้กระแสไฟฟ้าปริมาณมาก จำเป็นต้องใช้สายไฟขนาดใหญ่ขึ้นและแยกวงจรเฉพาะ เช่น
- เครื่องปรับอากาศ: ใช้สายขนาด 4.0 – 6.0 sq.mm. (ขึ้นอยู่กับขนาด BTU)
- เครื่องทำน้ำอุ่น/น้ำร้อน: ใช้สายขนาด 4.0 – 6.0 sq.mm. (ขึ้นอยู่กับกำลังวัตต์)
- สายเมนเข้าบ้าน: ใช้สายขนาด 10 – 25 sq.mm. (ขึ้นอยู่กับขนาดมิเตอร์ไฟฟ้า)
ชนิดของสายไฟมาตรฐานใหม่ มีอะไรบ้าง
นอกเหนือจากสีและขนาดแล้ว มาตรฐานสายไฟบ้านยังครอบคลุมถึงชนิดของสายไฟ ซึ่งแต่ละชนิดถูกออกแบบมาเพื่องานติดตั้งที่แตกต่างกัน การเลือกใช้ชนิดของสายไฟมาตรฐานใหม่ให้ถูกประเภทจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
สาย THW (60227 IEC 01)
สาย THW เป็นสายไฟฟ้าแกนเดี่ยว ตัวนำเป็นทองแดงและหุ้มด้วยฉนวน PVC ชั้นเดียว มีลักษณะเป็นสายเส้นเดี่ยวที่มีความแข็งแต่ก็ดัดโค้งได้ เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไปที่ต้องการความทนทานต่อกระแสไฟฟ้าสูง การใช้งานที่ถูกต้องของสาย THW คือต้องเดินร้อยในท่อร้อยสายไฟเท่านั้น เช่น ท่อ PVC สีเหลือง (สำหรับภายในอาคาร) หรือท่อโลหะ เพื่อป้องกันฉนวนจากการขีดข่วนหรือกระแทกเสียหาย ห้ามนำไปฝังดินโดยตรงหรือตีกิ๊บเกาะผนังเด็ดขาด
สาย VAF (VAF/VAF-G)
สาย VAF คือสายไฟที่คนทั่วไปคุ้นเคยกันดีที่สุดในลักษณะสายแบนสีขาว มีทั้งแบบ 2 แกน (ไม่มีสายดิน) และ 3 แกน (VAF-G ซึ่งมีสายดิน) ถูกออกแบบมาเพื่องานเดินสายไฟฟ้าภายในอาคารที่พักอาศัยโดยเฉพาะ วิธีการติดตั้งที่ถูกต้องคือการเดินลอยในอากาศโดยใช้กิ๊บรัดสาย (ตีกิ๊บ) เกาะไปตามผนังหรือเพดานในบริเวณที่แห้งและพ้นมือเอื้อมถึง ข้อควรระวังสำคัญคือ ห้ามร้อยสาย VAF ในท่อร้อยสายไฟ เพราะเป็นสายแบน ทำให้ระบายความร้อนได้ไม่ดี และห้ามนำไปฝังดินโดยตรง
สาย VCT (VCT/VCT-G)
สาย VCT เป็นสายไฟฟ้าชนิดกลม มีทั้งแบบหลายแกน (Multi-Core) และมีฉนวนหุ้ม 2 ชั้น ทำให้มีความอ่อนตัวและทนทานต่อแรงสั่นสะเทือนได้ดีเยี่ยม เหมาะสำหรับการใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่การต่อเข้ากับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องมีการเคลื่อนที่บ่อยครั้ง เช่น สว่านไฟฟ้า ปั๊มน้ำ ไปจนถึงการเดินสายในรางไฟฟ้า (Wireway) ร้อยท่อฝังในผนัง หรือแม้กระทั่งร้อยท่อฝังดินก็ได้ ด้วยความแข็งแรงของฉนวน 2 ชั้น ทำให้ สาย VCT เป็นหนึ่งในสายไฟที่ใช้งานได้อเนกประสงค์และปลอดภัยสูง
สาย NYY (NYY/NYY-G)
สาย NYY เป็นสายไฟฟ้าชนิดกลมที่มีความแข็งแรงทนทานสูงสุดในกลุ่มสายแรงดันต่ำ มีฉนวนหุ้ม 2 ชั้นและเปลือกนอกที่หนาเป็นพิเศษ ทำให้ทนทานต่อสภาพแวดล้อม ความชื้น และแรงกระแทกได้ดีเยี่ยม การใช้งานหลักของ สาย NYY คือการเดินสายเมนจากมิเตอร์ไฟฟ้าเข้าสู่ตู้ควบคุมไฟฟ้าในบ้าน (Consumer Unit) รวมถึงงานที่ต้องการความทนทานสูง เช่น การร้อยท่อฝังดิน หรือแม้กระทั่งการฝังลงดินโดยตรงในบางกรณี

วิธีเลือกสายไฟบ้านให้เหมาะสมและปลอดภัย
เมื่อเข้าใจถึงมาตรฐานและชนิดของสายไฟแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำความรู้มาประยุกต์ใช้เพื่อเลือdสายไฟให้ถูกต้องตามมาตรฐานสายไฟบ้าน ซึ่งมีหลักการพิจารณาง่ายๆ ดังนี้
เลือกขนาดสายไฟให้เหมาะกับโหลดไฟฟ้า
หลักการพื้นฐานที่สุดคือ “สายใหญ่ รับโหลดได้เยอะ” การคำนวณที่แม่นยำต้องทำโดยวิศวกร แต่สำหรับบ้านพักอาศัยทั่วไป เราสามารถอ้างอิงขนาดมาตรฐานสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละประเภทได้ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น
| ประเภทการใช้งาน / เครื่องใช้ไฟฟ้า | พิกัดกระแส (โดยประมาณ) | ขนาดสายไฟที่แนะนำ (sq.mm.) |
| วงจรแสงสว่าง (หลอดไฟ, โคมไฟ) | 1 – 5 A | 1.5 |
| วงจรเต้ารับทั่วไป (ทีวี, พัดลม) | 5 – 10 A | 2.5 |
| เครื่องปรับอากาศ 9,000-12,000 BTU | 10 – 15 A | 4.0 |
| เครื่องปรับอากาศ 18,000-24,000 BTU | 15 – 20 A | 6.0 |
| เครื่องทำน้ำอุ่น 3,500 – 4,500 W | 16 – 21 A | 4.0 |
| เตาไฟฟ้า / ปั๊มน้ำขนาดใหญ่ | > 20 A | 6.0 ขึ้นไป |
หมายเหตุ: ตารางนี้เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น ควรติดตั้งโดยช่างผู้ชำนาญการ
เลือกชนิดสายไฟให้เหมาะกับสถานที่ติดตั้ง
หลังจากได้ขนาดที่เหมาะสมแล้ว ต้องเลือกชนิดของสายไฟให้ถูกกับลักษณะการติดตั้ง
- เดินตีกิ๊บเกาะผนังภายใน เลือกใช้ สาย VAF
- เดินร้อยท่อภายใน/ภายนอกอาคาร เลือกใช้ สาย THW
- ต่อเข้าเครื่องจักร/อุปกรณ์ที่เคลื่อนที่ เลือกใช้ สาย VCT
- เดินสายเมน, ร้อยท่อฝังดิน หรือฝังดินโดยตรง เลือกใช้ สาย NYY หรือ สาย VCT (สำหรับร้อยท่อฝังดิน)
ตรวจสอบมาตรฐาน มอก. ทุกครั้งก่อนซื้อ
สิ่งที่จะยืนยันคุณภาพและความปลอดภัยของสายไฟได้ดีที่สุดคือเครื่องหมาย มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ที่ประทับอยู่บนฉนวนของสายไฟ ควบคู่ไปกับข้อมูลสำคัญอื่นๆ เช่น ชื่อผู้ผลิต ชนิดของสายไฟ ขนาดพื้นที่หน้าตัด และพิกัดแรงดันไฟฟ้า ก่อนตัดสินใจซื้อ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าสายไฟมีเครื่องหมาย มอก. 11-2559 ที่ชัดเจนและมาจากผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือ
ข้อควรระวังที่ไม่ควรมองข้าม
เพื่อความปลอดภัยสูงสุดในการติดตั้งและใช้งานระบบไฟฟ้า มีข้อควรระวังเพิ่มเติมที่ผู้ใช้งานและเจ้าของบ้านไม่ควรมองขาง
- ห้ามใช้สายไฟผิดประเภท การนำสายไฟที่ออกแบบมาสำหรับงานภายในไปใช้ภายนอก หรือนำสายที่ห้ามร้อยท่อไปใช้งานในท่อ จะทำให้สายไฟเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติและอาจก่อให้เกิดอันตรายได้
- อย่าเลือกสายไฟขนาดเล็กเกินไปสำหรับโหลดหนัก แม้จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในตอนแรก แต่การใช้สายไฟขนาดเล็กเกินไป (Undersized) กับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟมาก จะทำให้เกิดความร้อนสูง เสี่ยงต่อการเกิดเพลิงไหม้ และยังทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
- ปรึกษาช่างไฟฟ้าผู้เชี่ยวชาญหากไม่มั่นใจ ระบบไฟฟ้าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยโดยตรง หากไม่มีความรู้ความชำนาญ การจ้างช่างไฟฟ้าที่มีใบอนุญาตและประสบการณ์มาดำเนินการติดตั้งหรือให้คำปรึกษา คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดเพื่อความปลอดภัยของทุกคนในบ้าน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับมาตรฐานสายไฟบ้าน
สายไฟ 1.5 กับ 2.5 ต่างกันยังไง
สายไฟ 1.5 sq.mm. และ 2.5 sq.mm. แตกต่างกันที่ “ขนาดพื้นที่หน้าตัดของตัวนำทองแดง” ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อ “ความสามารถในการรองรับกระแสไฟฟ้า” โดยสาย 2.5 sq.mm. มีขนาดใหญ่กว่า จึงรองรับกระแสไฟฟ้าได้สูงกว่าสาย 1.5 sq.mm. ตามมาตรฐานสายไฟบ้านจึงนิยมใช้สาย 1.5 สำหรับวงจรแสงสว่างที่ใช้กระแสน้อย และใช้สาย 2.5 สำหรับวงจรเต้ารับที่อาจมีการต่อพ่วงเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชนิด
สายไฟเมนที่เดินเข้าบ้านควรใช้สายอะไร
สายไฟเมนคือสายที่เชื่อมต่อจากมิเตอร์ของการไฟฟ้าฯ มายังตู้ควบคุมไฟฟ้าหลักในบ้าน (Consumer Unit) ซึ่งต้องรองรับกระแสไฟฟ้าของทั้งบ้าน จึงต้องมีความแข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ ชนิดของสายไฟที่นิยมใช้คือ สาย NYY หรือ สาย THW ที่เดินในท่อร้อยสาย ส่วนขนาดจะขึ้นอยู่กับขนาดมิเตอร์ไฟฟ้า เช่น มิเตอร์ขนาด 15(45)A ควรใช้สายเมนขนาดไม่ต่ำกว่า 16 sq.mm.
มาตรฐานการเดินสายไฟเข้าบ้านมีอะไรบ้าง
มาตรฐานการเดินสายไฟเข้าบ้านครอบคลุมหลายส่วนนอกเหนือจากการเลือกสายไฟ ได้แก่ การติดตั้งตู้ Consumer Unit ที่มีเซอร์กิตเบรกเกอร์ครบถ้วน, การติดตั้งระบบสายดินที่ถูกต้องตามหลักวิศวกรรม (หลักดินต้องมีความต้านทานไม่เกิน 5 โอห์ม), การแยกวงจรสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟสูง, และการใช้ท่อร้อยสายไฟที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม ซึ่งทั้งหมดนี้ควรดำเนินการโดยช่างไฟฟ้าผู้ชำนาญการเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสายไฟบ้านและความปลอดภัยสูงสุด

สรุปบทความ
การเลือกสายไฟไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม เพราะมันคือพื้นฐานของความปลอดภัยในที่อยู่อาศัย การตัดสินใจที่ถูกต้องต้องคำนึงถึง 3 ปัจจัยหลักเสมอ คือ ขนาด ที่เหมาะสมกับปริมาณการใช้ไฟฟ้า, ชนิด ที่ถูกต้องตามลักษณะการติดตั้ง, และ มาตรฐาน มอก. ที่รับรองคุณภาพและความปลอดภัย ท้ายที่สุดแล้ว การปรึกษาและเลือกใช้บริการจากช่างไฟฟ้าผู้ชำนาญการคือสิ่งที่จะสร้างความมั่นใจได้ดีที่สุด
สำหรับผู้รับเหมา เจ้าของโครงการ หรือผู้ประกอบการที่กำลังมองหาสายไฟฟ้าและสายเคเบิลคุณภาพสูงที่ได้มาตรฐานสากล Fuhrer ในฐานะผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสายไฟฟ้าที่ได้รับความไว้วางใจจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนชั้นนำมาอย่างยาวนาน อาทิ กฟภ., กฟน., และ EGAT พร้อมให้บริการด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษา เพื่อให้ทุกโครงการของคุณดำเนินไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยสูงสุด