latest news
ในชีวิตประจำวันและงานอุตสาหกรรม เราถูกล้อมรอบด้วยสายไฟฟ้ามากมาย ซึ่งมีชื่อสายไฟแต่ละชนิดและคุณสมบัติที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การเลือกใช้ผิดประเภทอาจนำไปสู่ความเสียหายต่อทรัพย์สินหรืออันตรายถึงชีวิตได้ Fuhrer (ฟูห์เรอร์) ในฐานะผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสายไฟฟ้าคุณภาพสูงที่ได้รับความไว้วางใจมายาวนาน จะมาถอดรหัสชื่อสายไฟแต่ละชนิดที่พบบ่อย เพื่อให้คุณเลือกใช้งานได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูงสุด
รู้จักสายไฟให้ถูกต้อง ปลอดภัย เลือกใช้เป็น ไม่โดนหลอก
การเลือกใช้สายไฟไม่ใช่แค่การเลือก “สายอะไรก็ได้” ให้ไฟเดินผ่าน แต่เป็นรากฐานสำคัญของความปลอดภัยในระบบไฟฟ้าทั้งหมด การเรียกชื่อสายไฟแต่ละชนิดให้ถูกต้อง ไม่ใช่แค่เรื่องทางเทคนิค แต่เป็นเรื่องของการสื่อสารที่แม่นยำระหว่างผู้ออกแบบ ผู้รับเหมา และผู้ใช้งาน เพื่อให้มั่นใจว่าสายไฟที่ถูกติดตั้งนั้นตรงตามมาตรฐานที่กำหนด
มาตรฐานอุตสาหกรรม หรือ มอก. (TIS) คือข้อบังคับที่กำหนดคุณสมบัติของสายไฟ ตั้งแต่ตัวนำ ฉนวน เปลือก ไปจนถึงการทนต่อแรงดันและอุณหภูมิ การเลือกสายไฟที่ถูกต้องตามมาตรฐาน มอก. และเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมการติดตั้ง (เช่น การเดินร้อยท่อ, การฝังดิน, หรือการเดินลอย) จะช่วยป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ไฟฟ้าลัดวงจร อัคคีภัย หรืออายุการใช้งานที่สั้นกว่าที่ควร บทความนี้จะช่วยไขข้อข้องใจเกี่ยวกับชื่อย่อสายไฟต่างๆ เพื่อให้การเลือกซื้อและตรวจสอบงานติดตั้งเป็นไปอย่างมืออาชีพ
ความหมายของตัวอักษรบนสายไฟ (TIS 11-2553)
ชื่อสายไฟที่เราคุ้นเคยกัน เช่น THW, NYY, หรือ VCT ไม่ได้ถูกตั้งขึ้นมาลอยๆ แต่เป็นรหัสที่บอกคุณสมบัติสำคัญของสายไฟเส้นนั้นๆ โดยอ้างอิงตามมาตรฐานสากลและมาตรฐานของประเทศไทย (เช่น TIS 11-2553 สำหรับสายไฟแรงดันต่ำ) การเข้าใจรหัสเหล่านี้เปรียบเสมือนการอ่าน “ป้ายข้อมูล” ของสายไฟได้ทันที
ความหมายของตัวอักษรในชื่อสายไฟ (อิงมาตรฐาน)
การทำความเข้าใจชื่อสายไฟแต่ละชนิดจะง่ายขึ้นมาก เมื่อเราถอดรหัสตัวอักษรที่เป็นส่วนประกอบของชื่อเหล่านั้นได้ ซึ่งแต่ละตัวมีความหมายเฉพาะเจาะจง ดังนี้
- T – Thermoplastic (เทอร์โมพลาสติก) หมายถึง ฉนวนที่ทำจากพลาสติก PVC
- H – Heat Resistant (ทนความร้อน) โดยทั่วไปหมายถึง 70°C หรือ 90°C
- W – Weather Resistant (ทนต่อสภาพอากาศ) แม้บางชนิดเช่น THW จะมี W แต่มาตรฐานก็ไม่อนุญาตให้ใช้ภายนอกอาคารโดยตรง
- N – Normen (นอร์เมน) หมายถึง สายไฟที่อ้างอิงมาตรฐาน VDE ของเยอรมัน
- Y – (Y) หมายถึง ฉนวนหรือเปลือกที่ทำจาก PVC (มักใช้ในมาตรฐาน VDE)
- V – Vinyl (ไวนิล) มีความหมายเช่นเดียวกับ PVC (มักใช้ในมาตรฐาน มอก. หรือ JIS)
- C – Conductor (ตัวนำ) หมายถึง ตัวนำไฟฟ้า
- T – Twisted (ตีเกลียว) หมายถึง การตีเกลียวของสายไฟหลายแกน
- G – Ground (กราวด์) หมายถึง สายไฟที่มีสายดินรวมอยู่ด้วย
ตัวอย่างเช่น สาย NYY สามารถถอดรหัสได้ว่า เป็นสายมาตรฐานเยอรมัน (N) ที่มีฉนวนภายในเป็น PVC (Y) และมีเปลือกนอกเป็น PVC (Y) เช่นกัน
เจาะลึกสายไฟแต่ละชนิด แบ่งตามระดับแรงดันไฟฟ้า
เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของ ชื่อสายไฟแต่ละชนิด ได้ง่ายขึ้น วิธีที่ดีที่สุดคือการแบ่งประเภทตามระดับแรงดันไฟฟ้า (Voltage Rating) ซึ่งเป็นตัวกำหนดขอบเขตการใช้งานที่ชัดเจน โดยสามารถแบ่งได้ 3 ระดับหลักๆ ซึ่งมีการใช้งานและสเปกของวัสดุที่แตกต่างกันสิ้นเชิง
1. สายไฟแรงดันต่ำ (Low Voltage) (ที่ใช้บ่อยในบ้านและอาคาร)
นี่คือกลุ่มสายไฟที่พบเห็นและใช้งานบ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ในบ้านพักอาศัย อาคารสำนักงาน ไปจนถึงโรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็ก โดยทั่วไปจะกำหนดพิกัดแรงดันไฟฟ้าไว้ไม่เกิน 750V (ตามมาตรฐาน TIS 11-2553)
สาย THW (IEC 01)

สาย IEC 01 หรือที่เรียกกันติดปากในวงการช่างว่า สาย THW ถือเป็นสายไฟพื้นฐานที่สุดสำหรับงานติดตั้งภายในอาคาร เป็นสายแกนเดี่ยวที่ได้รับความนิยมสูงสุดสำหรับระบบ 1 เฟส และ 3 เฟส
- ความหมายชื่อ: (ตาม มอก. เดิม) T = Thermoplastic (PVC), H = Heat Resistant (70°C), W = Weather Resistant
- มาตรฐาน มอก.: TIS 11-2553 (มาตรฐานใหม่จะเรียกว่า 60227 IEC 01)
- แรงดัน: 450/750V
- อุณหภูมิ: 70°C
- แกน/สี: 1 แกน ตัวนำเป็นทองแดงแข็ง (Solid) หรือตีเกลียว (Stranded) ฉนวน PVC ชั้นเดียว มีหลายสีเพื่อระบุเฟสตามมาตรฐานใหม่ (ฟ้า=N, น้ำตาล=L1, ดำ=L2, เทา=L3, เขียวแถบเหลือง=G)
- การใช้งาน: เป็นสายที่ต้อง “ป้องกัน” ห้ามใช้เดินเปลือยเกาะผนัง (ตีกิ๊บ) หรือฝังดินโดยตรงเด็ดขาด! การใช้งานที่ถูกต้องคือต้องเดินร้อยในท่อร้อยสายไฟ (เช่น ท่อ PVC สีเหลือง, ท่อ EMT) หรือเดินในราง Wire-way / Cable Tray ที่ปิดมิดชิด เหมาะสำหรับเป็นสายเมนเข้าตู้คอนซูมเมอร์ หรือสายวงจรย่อยไปยังเต้ารับและสวิตช์ไฟ
สาย VAF / VAF-G (สายแบน)

สาย VAF หรือที่รู้จักกันในชื่อ “สายตีกิ๊บ” หรือ “สายแบน” เป็นสายไฟที่ถูกออกแบบมาเพื่องานติดตั้งภายในอาคารที่พักอาศัยโดยเฉพาะ ด้วยรูปลักษณ์สีขาวแบนที่ทำให้เดินเกาะไปตามผนังได้สะดวก
- ความหมายชื่อ: V = Vinyl (PVC) A = (ไม่ระบุชัดเจน) F = Flexible (แม้ตัวนำจะเป็นทองแดงแข็งก็ตาม)
- มาตรฐาน มอก.: TIS 11-2559
- แรงดัน: 450/750V
- อุณหภูมิ: 70°C
- แกน/สี: 2 แกน หรือ 3 แกน (แบบ VAF-G ที่มีสายดิน) หุ้มด้วยฉนวน PVC และมีเปลือก PVC สีขาวหุ้มทับอีกชั้นหนึ่ง
- การใช้งาน: ใช้งานสำหรับวงจรไฟฟ้าทั่วไปภายในบ้าน “ห้าม” เดินร้อยท่อโดยเด็ดขาด เนื่องจากสายแบนไม่ได้ออกแบบมาให้ระบายความร้อนในท่อ และ “ห้าม” ฝังดินโดยตรง เพราะเปลือกชั้นเดียวไม่ทนทานพอ การใช้งานที่ถูกต้องคือใช้เดินเกาะผนังโดยใช้กิ๊บรัดสาย (ตีกิ๊บ) หรือเดินในรางเก็บสายไฟ (ราง PVC ขาว)
สาย NYY / NYY-G (สายกลมดำ)

เมื่อนึกถึงสายไฟที่ต้องการความทนทานสูงสำหรับงานภายนอกอาคารหรือในโรงงานอุตสาหกรรม สาย NYY มักเป็นตัวเลือกอันดับแรกๆ ด้วยโครงสร้างที่แข็งแรงและมีเปลือกหุ้มถึงสองชั้น ทำให้ทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ดี
- ความหมายชื่อ: N = มาตรฐาน VDE, Y = ฉนวน PVC, Y = เปลือก PVC
- มาตรฐาน มอก.: TIS 11-2559
- แรงดัน: 450/750V
- อุณหภูมิ: 70°C
- แกน/สี: มีทั้งแบบ 1 แกน และหลายแกน (Multi-Core) ตั้งแต่ 2 ถึง 4 แกน และแบบมีสายดิน (-G) เปลือกนอกเป็น PVC สีดำ ซึ่งทนต่อแสงแดด (UV) ได้ดีกว่าสีขาว
- การใช้งาน: เป็นสายไฟอเนกประสงค์ที่ทนทานสูงมาก สามารถเดินร้อยท่อได้ทั้งในและนอกอาคาร เดินบนรางเคเบิล (Cable Tray) และที่สำคัญคือ “สามารถฝังดินได้โดยตรง” (โดยเฉพาะรุ่นที่มีสายดิน) จึงนิยมใช้เป็นสายเมนจากมิเตอร์ไฟเข้าสู่ตัวอาคาร หรืองานที่ต้องการความสมบุกสมบันสูง
สาย VCT / VCT-G (สายอ่อน)

สาย VCT มีคุณสมบัติเด่นที่แตกต่างจากสามชนิดแรกอย่างชัดเจน คือตัวนำเป็น “ทองแดงฝอย” ละเอียด ทำให้สายมีความอ่อนตัวสูงมาก สามารถโค้งงอได้บ่อยครั้งโดยที่ตัวนำไม่ขาดง่าย
- ความหมายชื่อ: V = Vinyl (PVC), C = Conductor, T = Twisted (ตีเกลียว)
- มาตรฐาน มอก.: TIS 11-2559
- แรงดัน: 450/750V
- อุณหภูมิ: 70°C
- แกน/สี: มีตั้งแต่ 1 แกน ถึง 4 แกน และแบบมีสายดิน (-G) หุ้มฉนวน PVC และเปลือก PVC กลมสีดำ
- การใช้งาน: ถูกออกแบบมาสำหรับงานที่ต้องการการเคลื่อนที่ หรือจุดที่ต้องรับแรงสั่นสะเทือน เช่น ใช้ทำสายปลั๊กพ่วง (Power Extension) ที่ต้องการความทนทานสูง, ใช้ต่อเข้ากับมอเตอร์, ปั๊มน้ำ, หรือเครื่องจักรกลในโรงงาน ไม่นิยมใช้เดินในท่อร้อยสายแบบถาวรเนื่องจากมีราคาสูงกว่า สาย THW และการเข้าหัวสายฝอยต้องใช้หางปลาที่เหมาะสม
2. สายไฟแรงดันปานกลาง (Medium Voltage)
สายไฟกลุ่มนี้ทำหน้าที่ส่งกำลังไฟฟ้าจากสถานีไฟฟ้าย่อยของการไฟฟ้าฯ ไปยังหม้อแปลงไฟฟ้า (Transformer) ตามอาคารขนาดใหญ่ โรงงานอุตสาหกรรม หรือนิคมอุตสาหกรรม รับแรงดันไฟฟ้าในระดับ 1 kV (1,000V) ไปจนถึง 36 kV (36,000V)
สาย XLPE และสาย SAC

ในกลุ่มแรงดันปานกลาง วัสดุฉนวนจะเปลี่ยนจาก PVC ธรรมดา ไปเป็น XLPE (Cross-linked Polyethylene) ซึ่งมีคุณสมบัติทางไฟฟ้าที่ดีกว่า ทนความร้อนได้สูงกว่า (ปกติ 90°C) และทนแรงดันได้สูงกว่ามาก
- มาตรฐาน มอก.: เช่น TIS 2143 (สำหรับสาย MV ที่หุ้มฉนวน XLPE)
- แรงดัน: 1.8/3(3.6)kV, 3.6/6(7.2)kV, 6/10(12)kV, 12/20(24)kV, 18/30(36)kV
- อุณหภูมิ: 90°C
- การใช้งาน:
- สาย XLPE (หุ้มฉนวน): ใช้เดินใต้ดิน (Underground) จากแนวสายส่งของการไฟฟ้าฯ เข้าสู่ห้องหม้อแปลงของอาคาร หรือเดินบนรางเคเบิลในโรงงานขนาดใหญ่
- สาย SAC (Space Aerial Cable): เป็นสายหุ้มฉนวน XLPE ตีเกลียว ใช้สำหรับเดินพาดไปตามเสาไฟฟ้าในเขตชุมชน เพื่อลดปัญหาสัตว์สัมผัสสายไฟ และเพิ่มความปลอดภัย
3. สายไฟแรงดันสูง (High Voltage)
นี่คือสายไฟที่ทำหน้าที่ “ส่ง” (Transmission) พลังงานไฟฟ้าปริมาณมหาศาลข้ามระยะทางไกลๆ จากโรงไฟฟ้าไปยังสถานีไฟฟ้าแรงสูงหลักของประเทศ เราจะเห็นสายเหล่านี้บนเสาโครงเหล็กขนาดใหญ่ที่ทอดผ่านทุ่งนาหรือภูเขา
สายเปลือย เช่น AAC และ ACSR

สายไฟกลุ่มนี้เกือบทั้งหมดเป็น “สายเปลือย” (Bare Conductor) คือไม่มีฉนวนหุ้ม เพื่อให้สามารถระบายความร้อนสู่อากาศได้ดีที่สุด และมีน้ำหนักเบา
- มาตรฐาน มอก.: เช่น TIS 85 (AAC), (ACSR)
- แรงดัน: 69kV, 115kV, 230kV, และ 500kV
- การใช้งาน:
- AAC (All Aluminium Conductor): สายอลูมิเนียมล้วน ใช้ในระบบจำหน่าย (Distribution) ที่แรงดันไม่สูงมาก
- ACSR (Aluminium Conductor Steel Reinforced): สายอลูมิเนียมที่มีแกนกลางเป็นเหล็กกล้า รับแรงดึงได้สูงมาก จึงเหมาะสำหรับใช้ขึงระหว่างเสาแรงสูงที่อยู่ห่างกันไกลๆ (Long Span) ในระบบส่ง (Transmission) หลักของประเทศ
สรุปตารางเปรียบเทียบ ชื่อสายไฟแต่ละชนิดและการใช้งาน
| ชื่อสายไฟ (มอก.) | พิกัดแรงดัน | พิกัดอุณหภูมิ | ลักษณะเด่น | การติดตั้งที่เหมาะสม (ตัวอย่าง) |
| IEC 01 (THW) | 450/750V | 70°C | สายแข็งแกนเดี่ยวฉนวนชั้นเดียว | ต้องร้อยท่อ หรือเดินในราง Wire-way (ห้ามฝังดิน) |
| VAF / VAF-G | 300/500V | 70°C | สายแบน2-3 แกน | เดินตีกิ๊บเกาะผนัง (ห้ามร้อยท่อ, ห้ามฝังดิน) |
| NYY / NYY-G | 450/750V | 70°C | สายกลมดำเปลือก 2 ชั้นทนทาน | ร้อยท่อเดินบนรางเคเบิลฝังดินได้โดยตรง |
| VCT / VCT-G | 450/750V | 70°C | สายอ่อน (ฝอย)ทนแรงสั่นสะเทือน | ต่อเข้าเครื่องจักรปลั๊กพ่วงอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
| XLPE (MV) | 1kV – 36kV | 90°C | ฉนวน XLPEทนแรงดันสูง | เดินใต้ดิน หรือ บนรางเคเบิล (สายเมนโรงงาน) |
| ACSR (HV) | > 69kV | (ระบายสู่อากาศ) | สายเปลือยแกนเหล็กทนแรงดึงสูง | ขึงบนเสาไฟฟ้าแรงสูง (ระบบส่งไฟฟ้า) |
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
สายไฟ THW กับ VCT ต่างกันอย่างไร?
THW เป็นสายแข็ง (Solid หรือ Stranded) แกนเดียว มีฉนวนชั้นเดียว เหมาะสำหรับงานเดินสายถาวรที่ต้องร้อยในท่อร้อยสายไฟ ส่วน VCT เป็นสายอ่อน (ตัวนำเป็นทองแดงฝอย) มีทั้งฉนวนและเปลือกหุ้ม ทำให้อ่อนตัวได้ดี ทนแรงสั่นสะเทือน จึงเหมาะสำหรับทำสายปลั๊กพ่วง หรือต่อเข้ากับอุปกรณ์ที่เคลื่อนที่ได้
สายไฟที่ใช้เดินนอกอาคารและฝังดินได้ ควรใช้ชนิดไหน?
แนะนำ สาย NYY หรือ NYY-G (แบบมีสายดิน) เนื่องจากมีโครงสร้างเปลือก PVC หุ้ม 2 ชั้น ทำให้ทนทานต่อสภาพอากาศ แสงแดด (UV) ความชื้น และแรงกระแทกทางกายภาพได้ดีกว่าสายชนิดอื่น จึงเป็นชื่อสายไฟแต่ละชนิดที่ถูกกำหนดมาสำหรับงานฝังดินโดยตรง
สีของสายไฟมีความสำคัญอย่างไร?
สำคัญมากในแง่ของความปลอดภัยและมาตรฐานการติดตั้ง สีของฉนวนใช้เพื่อบอกหน้าที่ของสายไฟนั้นๆ ตามมาตรฐาน มอก. ล่าสุด (เช่น สีฟ้า=สายกลาง/นิวทรัล N, สีเขียวแถบเหลือง=สายดิน G, สีน้ำตาล/ดำ/เทา=สายเฟส L1, L2, L3) เพื่อป้องกันการต่อวงจรผิดพลาด
เราจะดูมาตรฐาน มอก. บนสายไฟได้อย่างไร?
สามารถสังเกตได้จากเครื่องหมาย มอก. ที่พิมพ์อยู่บนเปลือกนอกของสายไฟตลอดทั้งเส้น โดยจะระบุ TIS 11-2553 (สำหรับสายไฟแรงดันต่ำส่วนใหญ่) พร้อมทั้งระบุชื่อสายไฟแต่ละชนิด (เช่น 60227 IEC 01 หรือ VCT), พิกัดแรงดัน, จำนวนแกน x ขนาดตัวนำ และชื่อผู้ผลิต (เช่น FUHRER)
สายไฟ VAF (สายแบน) สามารถเดินร้อยท่อได้หรือไม่?
ไม่ได้เด็ดขาด! มาตรฐานการติดตั้งทางไฟฟ้าไม่อนุญาตให้เดินสาย VAF ในท่อร้อยสายไฟ เนื่องจากสาย VAF ถูกออกแบบมาให้ระบายความร้อนโดยการสัมผัสอากาศโดยตรง (เมื่อตีกิ๊บ) การนำไปร้อยท่อจะทำให้เกิดการสะสมความร้อนสูง และฉนวนอาจเสียหายจากการเสียดสีขณะดึงสาย ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดไฟฟ้าลัดวงจร
สรุปบทความ
การทำความเข้าใจชื่อสายไฟแต่ละชนิด คือหัวใจสำคัญของความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุดของระบบไฟฟ้า ตั้งแต่บ้านพักอาศัยไปจนถึงโครงการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ สำหรับผู้ประกอบการ วิศวกร หรือผู้รับเหมา ที่กำลังมองหาสายไฟฟ้าคุณภาพสูงที่ได้มาตรฐาน Fuhrer (เฟอเร่อ) พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของโครงการคุณ เราคือผู้ผลิตสายไฟฟ้าที่ได้รับความไว้วางใจจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนชั้นนำมากว่า 3 ทศวรรษ ด้วยมาตรฐานสากล TIS และ ISO 9001 มั่นใจได้ในคุณภาพ บริการ และความปลอดภัยระดับสูงสุด
สายไฟคือเส้นเลือดของระบบไฟฟ้าในชีวิตประจำวัน การเลือกใช้สายไฟที่ “ถูกต้องตามมาตรฐานสายไฟ” จึงเป็นหัวใจของความปลอดภัย ปัจจุบัน ประเทศไทยได้ยกระดับมาตรฐานสายไฟฟ้า จาก มอก. 11-2553 สู่ มอก. 11-2559 ซึ่งเป็นมาตรฐานสายไฟล่าสุด เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล (IEC) วันนี้ Fuhrer ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสายไฟฟ้าคุณภาพสูง จะมาเจาะลึกมาตรฐานสายไฟฉบับนี้ เพื่อการใช้งานที่ถูกต้อง
มาตรฐานสายไฟ มอก. คืออะไร ทำไมต้องมี
มอก. ย่อมาจาก “มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม” (Thai Industrial Standard – TIS) เป็นเครื่องหมายที่ออกโดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เพื่อรับรองคุณภาพของผลิตภัณฑ์ว่ามีคุณสมบัติเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด มีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการใช้งาน
สำหรับอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มาตรฐานสายไฟ มอก. ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือ “ข้อบังคับ” ที่ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายทุกรายต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เหตุผลที่ต้องมีมาตรฐานสายไฟ มอก. นั้นชัดเจน นั่นคือ “ความปลอดภัย”
สายไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ที่มีความเสี่ยงสูง หากไม่ได้มาตรฐาน อาจนำไปสู่เหตุการณ์ร้ายแรง เช่น ไฟฟ้าลัดวงจร ฉนวนเสื่อมสภาพเร็วกว่ากำหนด เกิดความร้อนสูงสะสมจนเกิดอัคคีภัย หรือแม้กระทั่งอันตรายถึงชีวิตผู้ใช้งาน มาตรฐานสายไฟฟ้าจึงทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันด่านแรก โดยกำหนดคุณสมบัติสำคัญตั้งแต่ขนาดของตัวนำทองแดง, ความบริสุทธิ์ของทองแดง, ความหนาของฉนวน, ความสามารถในการทนต่อแรงดันไฟฟ้า และความทนทานต่อสภาพแวดล้อม การมีอยู่ของ มอก. จึงเป็นการสร้างบรรทัดฐานเดียวกันให้ผู้ผลิตทุกราย และสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค วิศวกร และช่างติดตั้ง
ความสำคัญของ มอก. ต่อสายไฟฟ้า
ความสำคัญของมาตรฐานสายไฟ มอก. นั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การป้องกันอัคคีภัย แต่ยังครอบคลุมถึงประสิทธิภาพของระบบไฟฟ้าทั้งหมด
- การันตีความปลอดภัย (Safety) นี่คือหัวใจหลัก มอก. บังคับใช้เกณฑ์การทดสอบที่เข้มงวด เช่น การทดสอบการทนไฟ (Flame Retardant), การทดสอบพิกัดแรงดัน (Voltage Rating) และการทดสอบความต้านทานของฉนวน (Insulation Resistance) เพื่อให้มั่นใจว่าสายไฟสามารถทนต่อสภาวะการใช้งานปกติและผิดปกติ (เช่น ไฟกระชากชั่วขณะ) ได้
- ความน่าเชื่อถือของระบบ (Reliability) สายไฟที่ได้มาตรฐานสายไฟฟ้า จะมีค่าความต้านทานตัวนำ (Conductor Resistance) ที่ถูกต้องตามเกณฑ์ หมายความว่าสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้เต็มประสิทธิภาพ ลดการสูญเสียพลังงานในสาย (Voltage Drop) และป้องกันปัญหาสายไฟร้อนเมื่อใช้งานเต็มพิกัด
- ความเข้ากันได้ (Interoperability) การมีมาตรฐานสายไฟ เดียวกัน ทำให้วิศวกรและช่างไฟสามารถออกแบบและติดตั้งระบบไฟฟ้าได้อย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะใช้สายไฟจากผู้ผลิตรายใด (ตราบใดที่ได้ มอก. เดียวกัน) อุปกรณ์ต่างๆ เช่น เบรกเกอร์ ท่อร้อยสายไฟ หรือเต้ารับ ก็จะสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์
- การคุ้มครองผู้บริโภค (Consumer Protection) มอก. ช่วยคัดกรองผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้คุณภาพออกจากตลาด ป้องกันผู้บริโภคจากการถูกหลอกลวงด้วยสายไฟราคาถูกที่ใช้วัสดุด้อยคุณภาพ เช่น ทองแดงที่ไม่บริสุทธิ์ หรือฉนวน PVC ที่รีไซเคิลมาโดยไม่ผ่านเกณฑ์
รู้จัก มอก. 11-2553 (มาตรฐานเดิม)
ก่อนที่เราจะก้าวสู่ยุคปัจจุบัน เราต้องทำความเข้าใจมาตรฐานสายไฟ เดิมเสียก่อน นั่นคือ มอก. 11-2553 ซึ่งเป็นมาตรฐานสายไฟฟ้า สำหรับสายไฟฟ้าหุ้มฉนวนพอลิไวนิลคลอไรด์ (PVC) สำหรับแรงดันไฟฟ้าที่กำหนดไม่เกิน 450/750 โวลต์
มอก. 11-2553 ถือเป็นมาตรฐานหลักที่คนไทยคุ้นเคยกันมานานหลายปี เป็นตัวกำหนดคุณสมบัติของสายไฟยอดนิยมที่เราใช้กันในอาคารบ้านเรือนทั่วไป เช่น สาย VAF (สายแบนสีขาว), สาย THW (สายเดี่ยวสำหรับร้อยท่อ), สาย VCT (สายกลมดำ) และสาย NYY (สายสำหรับฝังดินในยุคนั้น)
มาตรฐานนี้ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างดีในการควบคุมคุณภาพสายไฟในประเทศ อย่างไรก็ตาม ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นและการค้าโลกที่เปิดกว้าง ทำให้มาตรฐานสายไฟของไทยจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับสากลมากขึ้น เพื่อลดอุปสรรคทางการค้าและยกระดับความปลอดภัยให้เทียบเท่าระดับนานาชาติ
สู่ มอก. 11-2559 (มาตรฐานใหม่) ทำไมต้องเปลี่ยน?
การเปลี่ยนแปลงสู่มาตรฐานสายไฟ มอก. 11-2559 ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แต่เป็นการ “ปฏิวัติ” มาตรฐานสายไฟฟ้าแรงดันต่ำของไทย เหตุผลหลักในการอัปเดตครั้งใหญ่นี้ คือการปรับปรุงมาตรฐานสายไฟฟ้าของไทยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล IEC 60227 (IEC: International Electrotechnical Commission) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ทั่วโลกให้การยอมรับ
ปัญหาของมาตรฐานเดิม (มอก. 11-2553) ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
- ความไม่สอดคล้องกับสากล มาตรฐานเดิมมีรายละเอียดทางเทคนิคบางประการ (เช่น โครงสร้างสาย, พิกัดแรงดันบางประเภท, และการทดสอบ) ที่แตกต่างจาก IEC 60227 ทำให้เกิดความซ้ำซ้อนในการผลิตและการตรวจสอบคุณภาพ
- ความสับสนในการใช้งาน ตัวอย่างที่ชัดเจน คือ “สาย NYY” เดิม แม้ในทางปฏิบัติจะมีการนำไปฝังดิน แต่โครงสร้างสายตาม มอก. 11-2553 นั้น ไม่สอดคล้องกับมาตรฐาน IEC 60502 หรือมาตรฐานอื่นที่ยอมรับสำหรับการฝังดินโดยตรงอย่างแท้จริง ทำให้เกิดความไม่ชัดเจนและความเสี่ยงในทางปฏิบัติ
- สีของสายไฟ ระบบสีของ มอก. 11-2553 (เช่น L1-ดำ, L2-แดง, L3-น้ำเงิน, N-เทา) เป็นระบบที่ใช้เฉพาะในประเทศไทย (หรือใกล้เคียง) แต่แตกต่างจากมาตรฐานสากล (IEC) และมาตรฐานของสหรัฐอเมริกา (NEC) โดยสิ้นเชิง ก่อให้เกิดปัญหาเมื่อต้องทำงานกับอุปกรณ์นำเข้า หรือเมื่อวิศวกร/ช่างไฟต้องทำงานในโครงการระดับนานาชาติ
ดังนั้นการมาของมาตรฐานสายไฟ มอก. 11-2559 จึงเป็นการยกระดับครั้งสำคัญ เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ ทำให้ มาตรฐานสายไฟ ของไทยเป็นสากล (Harmonization) เพิ่มความปลอดภัยสูงสุด และสร้างความชัดเจนในการเลือกใช้ ชนิดของสายไฟมาตรฐานใหม่ ให้ถูกต้องตามประเภทการติดตั้ง
มาตรฐานสายไฟใหม่ (มอก. 11-2559) เปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง
การปรับปรุงสู่มาตรฐานสายไฟ มอก. 11-2559 ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนตัวเลข แต่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหลายประการที่ส่งผลต่อการออกแบบและติดตั้งระบบไฟฟ้าโดยตรง
1. การเปลี่ยนแปลงด้านพิกัดแรงดันไฟฟ้า (Voltage Rating)
ใน มาตรฐานสายไฟใหม่ มอก. 11-2559 ได้มีการจัดกลุ่มพิกัดแรงดันไฟฟ้า Uo/U (ยูศูนย์/ยู) ให้ชัดเจนตามมาตรฐาน IEC
- Uo (ยูศูนย์) คือค่าแรงดันไฟฟ้าที่กำหนด (Rated Voltage) ระหว่างตัวนำเฟส (Phase) เทียบกับดิน (Earth)
- U (ยู) คือค่าแรงดันไฟฟ้าที่กำหนด (Rated Voltage) ระหว่างตัวนำเฟส (Phase) เทียบกับตัวนำเฟส (Phase)
มาตรฐานสายไฟใหม่ได้กำหนดพิกัดแรงดันไฟฟ้าสำหรับสายไฟที่ใช้งานทั่วไปใน 2 ระดับหลัก คือ
- 300/500V สำหรับสายไฟที่ใช้งานเบา หรือสายไฟอ่อน (Flexible cords) เช่น สาย VCT (ชนิด IEC 53)
- 450/750V สำหรับสายไฟที่ใช้ในการติดตั้งถาวร (Fixed wiring) เช่น สาย 60227 IEC 01 (เทียบเท่า THW เดิม) หรือ 60227 IEC 02 (เทียบเท่า THW-Fเดิม)
แม้ว่าพิกัด 450/750V จะดูเหมือนเดิม แต่การจัดประเภทสายไฟให้เข้ากับพิกัดแรงดันนี้มีความชัดเจนตาม IEC มากขึ้น ทำให้การเลือกใช้สายไฟสำหรับระบบ 1 เฟส (230V) และ 3 เฟส (400V) มีความแม่นยำทางวิศวกรรมยิ่งขึ้น
2. การเปลี่ยนชื่อเรียกสายไฟให้เป็นสากล
นี่คือหนึ่งในชนิดของสายไฟมาตรฐานใหม่ ที่มีการเปลี่ยนแปลงชัดเจนที่สุด จากเดิมที่เราคุ้นเคยกับชื่อ VAF, THW, VCT, NYY มาตรฐานสายไฟ มอก. 11-2559 ได้เปลี่ยนมาใช้ “รหัส” ตามมาตรฐาน IEC 60227 เพื่อให้เป็นสากล
- สาย THW (เดิม) -> เปลี่ยนเป็น 60227 IEC 01
- สาย THW-F (เดิม) -> เปลี่ยนเป็น 60227 IEC 02
- สาย VCT (บางประเภท) -> เปลี่ยนเป็น 60227 IEC 53
- สาย NYY (บางประเภท) -> เปลี่ยนเป็น 60227 IEC 10
อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติและเพื่อป้องกันความสับสน ผู้ผลิตสายไฟคุณภาพสูงอย่าง Fuhrer มักจะพิมพ์ “ทั้งชื่อเดิมและรหัสใหม่” ลงบนฉนวนสายไฟ (เช่น “60227 IEC 02 VAF THW-F”) เพื่อให้ช่างไฟและผู้ใช้งานทั่วไปยังคงเข้าใจได้ง่าย ควบคู่ไปกับการปฏิบัติตามมาตรฐานสายไฟฉบับใหม่
3. การเปลี่ยนแปลงสีของฉนวนสายไฟ (จุดสำคัญที่ผู้ใช้ต้องรู้)
การเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อหน้างานมากที่สุด คือ “สีของฉนวน” มาตรฐานสายไฟ มอก. 11-2559 ได้ยกเลิกระบบสีเก่า (ดำ-แดง-น้ำเงิน) และนำระบบสีตามมาตรฐาน IEC มาใช้บังคับ เพื่อให้สอดคล้องกับสากลและลดความผิดพลาดในการติดตั้ง
- สายนิวทรัล (N) เปลี่ยนจาก สีเทาอ่อน (เดิม) เป็น สีฟ้า (Blue)
- สายดิน (G) เปลี่ยนจาก สีเขียว (เดิม) เป็น สีเขียวแถบเหลือง (Green/Yellow)
- สายเฟส (L) ระบบ 1 เฟส เปลี่ยนจาก สีดำ (เดิม) เป็น สีน้ำตาล (Brown)
- สายเฟส (L) ระบบ 3 เฟส เปลี่ยนจาก L1-ดำ, L2-แดง, L3-น้ำเงิน (เดิม) เป็น L1-น้ำตาล (Brown), L2-ดำ (Black), L3-เทา (Grey)
การเปลี่ยนแปลงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะ “สีฟ้า” ซึ่งในระบบเดิมอาจถูกใช้เป็นสายเฟส (L3) แต่ในมาตรฐานสายไฟใหม่ “สีฟ้า” ถูกบังคับให้เป็นสายนิวทรัล (N) เท่านั้น การจดจำสีใหม่นี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นสูงสุดเพื่อป้องกันการต่อวงจรผิดพลาด
ตารางสรุปการเปลี่ยนแปลงสายไฟ มอก. 11-2553 vs. 2559
| รายการ | มอก. 11-2553 (มาตรฐานเดิม) | มาตรฐานสายไฟ มอก. 11-2559 (มาตรฐานใหม่) |
| มาตรฐานอ้างอิงหลัก | อ้างอิง TIS (มาตรฐานเดิมของไทย) | อ้างอิง IEC 60227 เป็นหลัก (มาตรฐานสากล) |
| พิกัดแรงดัน(ทั่วไป) | 300/500V, 450/750V | 300/500V, 450/750V (มีการจัดกลุ่มสายไฟใหม่) |
| ชื่อเรียกสาย(ตัวอย่าง) | VAF, THW, VCT, NYY | 60227 IEC 02 (THW-F), 60227 IEC 01 (THW), 60227 IEC 53 (VCT), 60227 IEC 10 (NYY) |
| สีฉนวน(ระบบ 1 เฟส) | L: ดำ, N: เทาอ่อน, G: เขียว | L: น้ำตาล, N: ฟ้า, G: เขียวแถบเหลือง |
| สีฉนวน(ระบบ 3 เฟส) | L1: ดำ, L2: แดง, L3: น้ำเงิน, N: เทาอ่อน, G: เขียว | L1: น้ำตาล, L2: ดำ, L3: เทา, N: ฟ้า, G: เขียวแถบเหลือง |
ตารางเทียบสีสายไฟมาตรฐานใหม่ (มอก. 11-2559) เทียบมาตรฐานเก่า
| การใช้งาน / ระบบ | มาตรฐานเดิม (มอก. 11-2553) | มาตรฐานสายไฟ ใหม่ (มอก. 11-2559) |
| ระบบ 1 เฟส (2 สาย) | L: ดำ N: เทาอ่อน | L: น้ำตาล N: ฟ้า |
| ระบบ 1 เฟส (3 สาย – มีสายดิน) | L: ดำ N: เทาอ่อน G: เขียว | L: น้ำตาล N: ฟ้า G: เขียวแถบเหลือง |
| ระบบ 3 เฟส (4 สาย) | L1: ดำ L2: แดง L3: น้ำเงิน N: เทาอ่อน | L1: น้ำตาล L2: ดำ L3: เทา N: ฟ้า |
| ระบบ 3 เฟส (5 สาย – มีสายดิน) | L1: ดำ L2: แดง L3: น้ำเงิน N: เทาอ่อน G: เขียว | L1: น้ำตาล L2: ดำ L3: เทา N: ฟ้า G: เขียวแถบเหลือง |
เจาะลึกชนิดของสายไฟมาตรฐานใหม่ (มอก. 11-2559) ที่ใช้ในบ้านและอาคาร
แม้ชื่อเรียกจะเปลี่ยนไป แต่ นิดของสายไฟมาตรฐานใหม่ที่ใช้งานหลักในอาคารและบ้านเรือนยังคงมีคุณสมบัติและการใช้งานที่คุ้นเคย แต่ปรับปรุงให้ดีขึ้นตาม มาตรฐานสายไฟ ใหม่
สาย THW-F (IEC02)- สายแบนยอดนิยมสำหรับเดินในอาคาร

- รหัสมาตรฐานใหม่ 60227 IEC 02
- ชื่อเดิม (Common Name) THW-F
- โครงสร้าง ตัวนำทองแดง (ตีเกลียวอ่อนตัวได้), หุ้มฉนวน PVC
- พิกัดแรงดัน 450/750V (ตาม มอก. 11-2559)
- การใช้งาน เป็นสายไฟที่นิยมสำหรับเดินภายในอาคารที่พักอาศัย ใช้เดินในช่องเดินสาย (Wireway)
ข้อควรระวัง: ห้ามใช้ร้อยท่อฝังดิน หรือฝังดินโดยตรง และห้ามเดินนอกอาคาร
สาย VCT (IEC 53 / IEC 57) – สายกลมสำหรับงานที่ต้องการความทนทาน

- รหัสมาตรฐานใหม่ 60227 IEC 53 (สำหรับสายอ่อนทั่วไป) หรือ 60227 IEC 57 (สำหรับทนน้ำมัน)
- ชื่อเดิม (Common Name) VCT หรือ สายวีซีที
- โครงสร้าง ตัวนำทองแดง (ตีเกลียว, อ่อนตัวได้), หุ้มฉนวน PVC, เปลือกนอก PVC, ลักษณะสายกลม มีหลายแกน (2, 3, 4 แกน)
- พิกัดแรงดัน 300/500V (สำหรับ IEC 53)
- การใช้งาน เป็นสายไฟที่ออกแบบมาเพื่องานที่ต้องการความอ่อนตัวและทนทานต่อการเคลื่อนที่ เช่น สายพ่วงปลั๊กไฟ, สายไฟสำหรับเครื่องจักรอุตสาหกรรมที่เคลื่อนที่, ปั๊มน้ำ หรือใช้งานภายนอกอาคาร (แต่ควรมีการป้องกัน) สามารถทนทานต่อแรงสั่นสะเทือนได้ดีกว่า VAF
สาย NYY, NYY-G (IEC 10) – สายสำหรับฝังดินตามมาตรฐานใหม่

- รหัสมาตรฐานใหม่ NYY, NYY-G (สำหรับแรงดัน 450/750V) หรืออ้างอิง IEC 60502-1 สำหรับแรงดัน 0.6/1kV
- ชื่อเดิม (Common Name) NYY หรือ สายเอ็นวายวาย
- โครงสร้าง ตัวนำทองแดง (ตีเกลียว), หุ้มฉนวน PVC, มีเปลือกชั้นใน (Inner Sheath) และเปลือกนอก PVC (Outer Sheath) ลักษณะสายกลมสีดำ มีความหนาและทนทานสูง
- พิกัดแรงดัน 450/750V (ตาม มอก. 11-2559)
- การใช้งาน นี่คือสายไฟที่ถูกกำหนดมาให้ใช้งานฝังดินโดยเฉพาะ หรือร้อยท่อฝังดินได้ เนื่องจากโครงสร้างเปลือก 2 ชั้นที่แข็งแรง ทนทานต่อความชื้น สภาพแวดล้อมใต้ดิน และแรงกระแทกได้ดีกว่าสายชนิดอื่น
สายไฟ มอก. 11-2553 (มาตรฐานเดิม) ที่ยังมีการใช้งาน (เช่น สาย IEC 01)
แม้ว่า มาตรฐานสายไฟ มอก. 11-2559 จะเป็นมาตรฐานบังคับปัจจุบัน แต่สายไฟที่ผลิตตามมาตรฐาน มอก. 11-2553 (มาตรฐานเดิม) ที่ยังคงค้างอยู่ในสต็อกของผู้จำหน่าย ยังคงสามารถใช้งานได้ (จะกล่าวละเอียดใน H2 ถัดไป)
นอกจากนี้ สายไฟบางชนิดที่เป็นที่นิยมอย่างสูงในมาตรฐานเดิม ก็ถูกนำมาบรรจุในมาตรฐานสายไฟใหม่ด้วยรหัส IEC เช่น “สาย THW” (เดิม) ซึ่งเป็นสายแกนเดี่ยวที่ใช้ร้อยท่อในอาคาร ได้ถูกกำหนดรหัสใหม่เป็น 60227 IEC 01 ใน มอก. 11-2559
ดังนั้น แม้เราจะอ้างอิง มอก. 11-2559 เป็นหลัก แต่สายไฟที่เคยอยู่ภายใต้ มอก. 11-2553 เช่น VAF, VCT, THW ก็คือชนิดของสายไฟมาตรฐานใหม่ที่ถูกยกระดับและเปลี่ยนชื่อเรียกให้เป็นสากลนั่นเอง การทำความเข้าใจความเชื่อมโยงนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับช่างไฟในยุคเปลี่ยนผ่าน
วิธีการอ่านรหัสและสีสายไฟตามมาตรฐาน มอก. 11-2559

การทำความเข้าใจมาตรฐานสายไฟใหม่ รวมถึงการอ่านรหัสบนสายและการจดจำสีที่ถูกต้อง ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับวิศวกรและช่างไฟเพื่อความปลอดภัย
การอ่านตัวย่อและตัวเลขบนสายไฟ บอกอะไรเราบ้าง
บนฉนวนของสายไฟที่ได้มาตรฐานสายไฟจะมีการพิมพ์ข้อมูลสำคัญไว้เสมอ เราสามารถถอดรหัสได้ดังนี้:
- 60227 IEC 53 คือ รหัสมาตรฐานสากลและชนิดของสายไฟ (ในที่นี้คือ IEC 53 หรือสาย VCT อ่อน)
- VCT คือ ชื่อเรียกทั่วไป (Common Name) ที่ผู้ผลิตมักใส่ไว้เพื่อง่ายต่อการจดจำ
- 3×1.5
- 3 หมายถึง จำนวนแกน (Cores) ภายในสายเส้นนี้ (มี 3 แกน)
- 1.5 หมายถึง ขนาดพื้นที่หน้าตัดของตัวนำ (Conductor Size) ในหน่วยตารางมิลลิเมตร (SQ.MM.)
- SQ.MM. คือหน่วยของขนาดตัวนำ (Square Millimeter)
- FUHRER (หรือชื่อผู้ผลิต) แสดงถึงแบรนด์ผู้ผลิต
- 300/500 V คือ พิกัดแรงดันไฟฟ้า (Uo/U)
- TIS 11 PART 5-2553 คือ มาตรฐานสายไฟฟ้า มอก. ที่สายเส้นนี้ได้รับการรับรอง (ในที่นี้ Part 5 คือข้อกำหนดทั่วไป และอาจตามด้วย Part อื่นๆ ที่ระบุชนิดสาย)
การอ่านข้อมูลเหล่านี้เป็น ช่วยให้มั่นใจได้ว่าเราหยิบ ชนิดของสายไฟมาตรฐานใหม่ ได้ถูกต้องตรงตามแบบ (Specification) ที่วิศวกรออกแบบไว้
ถอดรหัสสีสายไฟมาตรฐาน มอก. L1, L2, L3, N, G หมายถึงอะไร
นี่คือส่วนที่ต้องจดจำให้แม่นยำที่สุดใน มาตรฐานสายไฟ มอก. 11-2559 เพื่อป้องกันอุบัติเหตุร้ายแรงจากการต่อสายไฟผิด
- L1, L2, L3 (Line)
คือ “สายเฟส” หรือ “สายมีไฟ” (Phase / Line Conductor) เป็นสายที่นำกระแสไฟฟ้ามาจากแหล่งจ่ายไฟ มีแรงดันไฟฟ้าสูงเมื่อเทียบกับดิน
สีมาตรฐานใหม่
- L1: สีน้ำตาล (Brown)
- L2: สีดำ (Black)
- L3: สีเทา (Grey)
(ในระบบ 1 เฟส จะใช้ L1 (สีน้ำตาล) เส้นเดียว)
- N (Neutral)
คือ “สายนิวทรัล” หรือ “สายศูนย์” (Neutral Conductor) เป็นสายที่ต่อกลับไปยังแหล่งจ่ายไฟเพื่อให้วงจรครบสมบูรณ์ ในสภาวะปกติ (ระบบสมดุล) สายนิวทรัลจะมีแรงดันไฟฟ้าใกล้เคียง 0 โวลต์เมื่อเทียบกับดิน
สีมาตรฐานใหม่ สีฟ้า (Blue) (ข้อควรระวังสูงสุด: สีฟ้าในระบบเก่าเคยเป็น L3)
- G (Ground)
คือ “สายดิน” หรือ “สายตัวนำป้องกัน” (Protective Conductor – PE) เป็นสายที่ไม่ได้ใช้ในวงจรไฟฟ้าปกติ แต่ใช้เพื่อความปลอดภัย โดยต่อเข้ากับโครงโลหะของอุปกรณ์ไฟฟ้าและหลักดิน เมื่อเกิดไฟฟ้ารั่ว กระแสไฟฟ้าจะไหลลงดินผ่านสายนี้ ป้องกันไม่ให้ผู้ใช้งานถูกไฟดูด
สีมาตรฐานใหม่ สีเขียวแถบเหลือง (Green/Yellow)
ข้อควรรู้และข้อควรระวังในการเลือกใช้งานสายไฟมาตรฐานใหม่
การเปลี่ยนผ่าน มาตรฐานสายไฟ ย่อมมีข้อควรพิจารณาในหน้างานจริง ทั้งเรื่องสต็อกเก่าและการเชื่อมต่อระบบ เพื่อให้ มาตรฐานสายไฟฟ้า ถูกบังคับใช้อย่างสมบูรณ์
การเลือกใช้สายไฟมาตรฐานเก่า (มอก. 11-2553) ที่ยังค้างสต็อก ทำได้หรือไม่
ตามประกาศของ สมอ. สายไฟฟ้าที่ผลิตตามมาตรฐานสายไฟ มอก. 11-2553 (มาตรฐานเดิม) ที่ผลิตและมีอยู่ในท้องตลาด ก่อน วันที่มาตรฐานใหม่มีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ ยังคงสามารถจำหน่ายและใช้งานได้จนกว่าสินค้าจะหมดไป
อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติสำหรับโครงการก่อสร้างใหม่ หรือการปรับปรุงระบบไฟฟ้าในปัจจุบัน วิศวกรผู้ออกแบบ ผู้ควบคุมงาน และผู้รับเหมา ควรเลือกใช้สายไฟตามมาตรฐานสายไฟ มอก. 11-2559 (มาตรฐานใหม่) เท่านั้น เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายปัจจุบัน, เพื่อความปลอดภัยสูงสุด, และเพื่อให้การซ่อมบำรุงในอนาคตเป็นไปอย่างถูกต้อง (โดยเฉพาะเรื่องสีของสายไฟ) การใช้สายมาตรฐานเก่าอาจทำให้เกิดความสับสนและไม่ผ่านการตรวจสอบงานในที่สุด
การต่อสายไฟระบบเก่า (สีเดิม) กับระบบใหม่ (สีใหม่)
นี่คือสถานการณ์ที่พบบ่อยที่สุดในการรีโนเวทบ้านหรืออาคารเก่า ซึ่งมีความเสี่ยงสูงมาก! เช่น การต่อเติมปลั๊กไฟในห้องที่ใช้สายไฟเก่า (L-ดำ, N-เทา) กับสายไฟใหม่ (L-น้ำตาล, N-ฟ้า)
ข้อควรระวังสูงสุด คือการต่อสายนิวทรัล (N) และสายเฟส (L)
- ระบบเก่า L3 คือ สีน้ำเงิน
- ระบบใหม่ N คือ สีฟ้า
(สีใกล้เคียงกันมาก แต่ทำหน้าที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง!)
วิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง (E-E-A-T)
- ห้ามจำสีเพียงอย่างเดียว ช่างไฟต้องใช้เครื่องมือวัด (เช่น มัลติมิเตอร์ หรือ ไขควงวัดไฟ) เพื่อ “พิสูจน์ทราบ” หน้าที่ของสายไฟเก่าทีละเส้น ว่าเส้นใดคือ L, N, และ G จริงๆ
- ทำเครื่องหมาย (Marking) เมื่อต้องต่อสายเก่าเข้ากับสายใหม่ในจุดเชื่อมต่อ (Junction Box) ให้ใช้เทปพันสายไฟสีมาตรฐานใหม่ (น้ำตาล, ฟ้า, เขียว/เหลือง) หรือใช้ปลอกหุ้มสาย (Wire Marker) พันหรือสวมทับปลายสายไฟเก่า เพื่อระบุหน้าที่ใหม่ให้ชัดเจนก่อนทำการเชื่อมต่อ
- การเชื่อมต่อต้องแน่นหนาและหุ้มฉนวนอย่างถูกต้อง
กล่าวถึงมาตรฐานอื่นสั้นๆ
สำหรับมาตรฐานสายไฟ มอก. 11-2559 นับเป็นมาตรฐานที่ครอบคลุมสายไฟฟ้าแรงดันต่ำที่หุ้มฉนวน PVC ที่ใช้ในอาคารเป็นหลัก แต่ในระบบไฟฟ้ายังมีมาตรฐานสายไฟฟ้า อื่นๆ อีก
ตัวอย่างเช่น มอก. 2341-2564 ซึ่งเป็นมาตรฐานสำหรับสายไฟฟ้าอากาศหุ้มฉนวน XLPE (Cross-linked Polyethylene) มาตรฐานนี้จะแตกต่างออกไป โดยมุ่งเน้นสายไฟที่ใช้ในระบบจำหน่ายไฟฟ้าแรงดันสูงของการไฟฟ้า (Aerial Cables) ซึ่งใช้ฉนวน XLPE ที่ทนความร้อนและทนต่อสภาพอากาศได้ดีกว่า PVC ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับการใช้งานภายในอาคารทั่วไปที่ มอก. 11-2559 ดูแลอยู่
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับมาตรฐานสายไฟฟ้า
มาตรฐานสายไฟใหม่ (มอก. 11-2559) มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง
สรุปการเปลี่ยนแปลงสำคัญ 4 ข้อ คือ
- อ้างอิงสากล: เปลี่ยนมาอ้างอิงมาตรฐาน IEC 60227 เป็นหลัก
- เปลี่ยนชื่อ: เปลี่ยนชื่อเรียกสายไฟจาก VAF, THW, VCT เป็นรหัส IEC เช่น 60227 IEC 02, IEC 01, IEC 53
- เปลี่ยนสี (สำคัญที่สุด): เปลี่ยนระบบสีของฉนวนสายไฟทั้งหมด โดยเฉพาะ N (นิวทรัล) เป็น สีฟ้า และ G (สายดิน) เป็น สีเขียวแถบเหลือง
- ปรับพิกัดแรงดัน: จัดกลุ่มพิกัดแรงดันใหม่ (เช่น 300/500V และ 450/750V) ให้สอดคล้องกับ IEC
สายไฟเก่า (มอก. 11-2553) ที่ซื้อมาเก็บไว้ ยังใช้งานได้หรือไม่
ใช้งานได้ หากสายไฟนั้นถูกผลิตก่อนที่ มาตรฐานสายไฟ ใหม่จะมีผลบังคับใช้ และต้องมั่นใจว่าสายไฟถูกเก็บรักษาอย่างถูกต้อง (ไม่โดนแดด/ฝน/ความชื้น) จนฉนวนไม่เสื่อมสภาพ (ไม่แข็งกระด้างหรือแตกร้าว) อย่างไรก็ตาม ผู้ติดตั้งต้องมีความเชี่ยวชาญและเข้าใจระบบสีเก่าเป็นอย่างดี และควรหลีกเลี่ยงการนำไปใช้ในโครงการใหม่ที่ระบุสเปคเป็น มอก. 11-2559 แล้ว
ถ้าบ้านเดินสายไฟสีเก่า (มาตรฐานเดิม) จำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดหรือไม่
ไม่จำเป็นต้องรื้อเปลี่ยนทันที หากระบบสายไฟเดิมยังอยู่ในสภาพดี (ฉนวนไม่กรอบแตก) และผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยทางไฟฟ้าโดยผู้เชี่ยวชาญแล้วว่ายังใช้งานได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่มีการต่อเติม ปรับปรุง หรือซ่อมแซมระบบไฟฟ้าในจุดใดจุดหนึ่ง ต้อง ใช้สายไฟตาม มาตรฐานสายไฟ ใหม่ (มอก. 11-2559) เท่านั้น และต้องระมัดระวังในการเชื่อมต่อสีสายไฟเก่ากับใหม่ตามที่แนะนำไว้
สีสายไฟมาตรฐานใหม่สำหรับระบบ 1 เฟส และ 3 เฟส แตกต่างกันอย่างไร
สีของสายนิวทรัล (N) และสายดิน (G) จะเหมือนกันในทุกระบบ แต่จะต่างกันที่สายเฟส (L)
- ระบบ 1 เฟส (มีสายดิน)
- L: สีน้ำตาล
- N: สีฟ้า
- G: สีเขียวแถบเหลือง
- ระบบ 3 เฟส (มีสายดิน)
- L1: สีน้ำตาล
- L2: สีดำ
- L3: สีเทา
- N: สีฟ้า
- G: สีเขียวแถบเหลือง
วิธีตรวจสอบว่าสายไฟที่ซื้อเป็นของแท้ ได้มาตรฐาน มอก. หรือไม่?
- สังเกตเครื่องหมาย มอก.: ต้องมีเครื่องหมาย มอก. พิมพ์อยู่บนฉนวนสายไฟหรือเปลือกอย่างชัดเจน
- ตรวจสอบรหัสมาตรฐาน: ต้องระบุ มอก. 11-2559 หรือ TIS 11-2559 (หากเป็นสาย PVC แรงดันต่ำ)
- ข้อมูลบนสายครบถ้วน: ต้องมีชื่อผู้ผลิต (เช่น FUHRER), ชนิดสาย (เช่น 60227 IEC 02), พิกัดแรงดัน (เช่น 450/750V) และขนาดสาย (เช่น 2×2.5 SQ.MM.) พิมพ์ชัดเจนและต่อเนื่อง
- ลักษณะทางกายภาพ: ฉนวนต้องเรียบเนียน ไม่บวมหรือมีตำหนิ ตัวนำทองแดงต้องมีสีส้มสดใส ไม่คล้ำ และเมื่อตัดดูต้องได้ขนาดเต็มตามที่ระบุ
- ซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ: เลือกซื้อจากตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ หรือผู้ผลิตที่ได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรม
สายไฟ 1.5 กับ 2.5 ต่างกันยังไง
สายไฟ 1.5 sq.mm. และ 2.5 sq.mm. แตกต่างกันที่ “ขนาดพื้นที่หน้าตัดของตัวนำทองแดง” ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อ “ความสามารถในการรองรับกระแสไฟฟ้า” โดยสาย 2.5 sq.mm. มีขนาดใหญ่กว่า จึงรองรับกระแสไฟฟ้าได้สูงกว่าสาย 1.5 sq.mm. ตามมาตรฐานสายไฟบ้านจึงนิยมใช้สาย 1.5 สำหรับวงจรแสงสว่างที่ใช้กระแสน้อย และใช้สาย 2.5 สำหรับวงจรเต้ารับที่อาจมีการต่อพ่วงเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชนิด
สายไฟเมนที่เดินเข้าบ้านควรใช้สายอะไร
สายไฟเมนคือสายที่เชื่อมต่อจากมิเตอร์ของการไฟฟ้าฯ มายังตู้ควบคุมไฟฟ้าหลักในบ้าน (Consumer Unit) ซึ่งต้องรองรับกระแสไฟฟ้าของทั้งบ้าน จึงต้องมีความแข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ ชนิดของสายไฟที่นิยมใช้คือ สาย NYY หรือ สาย THW ที่เดินในท่อร้อยสาย ส่วนขนาดจะขึ้นอยู่กับขนาดมิเตอร์ไฟฟ้า เช่น มิเตอร์ขนาด 15(45)A ควรใช้สายเมนขนาดไม่ต่ำกว่า 16 sq.mm.
มาตรฐานการเดินสายไฟเข้าบ้านมีอะไรบ้าง
มาตรฐานการเดินสายไฟเข้าบ้านครอบคลุมหลายส่วนนอกเหนือจากการเลือกสายไฟ ได้แก่ การติดตั้งตู้ Consumer Unit ที่มีเซอร์กิตเบรกเกอร์ครบถ้วน, การติดตั้งระบบสายดินที่ถูกต้องตามหลักวิศวกรรม (หลักดินต้องมีความต้านทานไม่เกิน 5 โอห์ม), การแยกวงจรสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟสูง, และการใช้ท่อร้อยสายไฟที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม ซึ่งทั้งหมดนี้ควรดำเนินการโดยช่างไฟฟ้าผู้ชำนาญการเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสายไฟบ้านและความปลอดภัยสูงสุด

สรุปบทความ
การปฏิบัติตามมาตรฐานสายไฟล่าสุด (มอก. 11-2559) ไม่ใช่แค่ข้อบังคับ แต่คือความรับผิดชอบต่อความปลอดภัย การเลือกใช้สายไฟที่ถูกต้องคือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด สำหรับผู้ประกอบการ วิศวกร หรือช่างผู้รับเหมา ที่กำลังมองหาสายไฟฟ้าคุณภาพสูงที่ได้มาตรฐานสายไฟสากล Fuhrer พร้อมให้บริการ ด้วยประสบการณ์ยาวนานและความไว้วางใจจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนชั้นนำ เรามุ่งมั่นส่งมอบผลิตภัณฑ์สายไฟฟ้าที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด
ในยุคปัจจุบัน ระบบไฟฟ้าเปรียบเสมือนหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนชีวิตประจำวันและภาคอุตสาหกรรม แต่ในความสะดวกสบายนั้นก็แฝงไว้ด้วยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้าดูด ไฟฟ้ารั่ว หรืออัคคีภัย เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝันเหล่านี้ “ระบบสายดิน” จึงถูกออกแบบมาให้เป็นแนวป้องกันด่านสำคัญที่ทุกอาคารต้องมี วันนี้ Fuhrer ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสายไฟฟ้าและสายไฟแรงสูงคุณภาพสูง จะมาอธิบายถึงความสำคัญและหลักการทำงานของสายดิน เพื่อสร้างความเข้าใจด้านความปลอดภัยอย่างถ่องแท้
สายดินคืออะไร
สายดิน (Ground Wire หรือ Earth Wire) คือตัวนำทางไฟฟ้าที่เชื่อมต่อส่วนที่เป็นโลหะของอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือโครงสร้างของระบบไฟฟ้าเข้ากับพื้นโลก (Ground) โดยตรง จุดประสงค์หลักของสายดินไม่ใช่เพื่อการใช้งานไฟฟ้าในภาวะปกติ แต่เป็นเส้นทางสำรองที่มีความต้านทานต่ำมาก เพื่อให้กระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติ เช่น กระแสไฟฟ้ารั่ว (Leakage Current) หรือกระแสลัดวงจร (Short Circuit Current) สามารถไหลลงสู่พื้นดินได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย แทนที่จะไหลผ่านร่างกายมนุษย์หรือก่อให้เกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์
หน้าที่หลักของสายดิน
สายดินเป็นส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้ในระบบไฟฟ้าสมัยใหม่ โดยมีหน้าที่หลักที่เน้นด้านความปลอดภัยดังต่อไปนี้
- ป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าดูด ทำหน้าที่เป็นเส้นทางหลักให้กระแสไฟฟ้ารั่วไหลลงดินทันที เมื่อเกิดการรั่วไหลไปยังโครงโลหะของเครื่องใช้ไฟฟ้า ช่วยป้องกันไม่ให้กระแสไฟฟ้านั้นไหลผ่านร่างกายมนุษย์หากไปสัมผัส
- ป้องกันความเสียหายต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า ในภาวะที่เกิดแรงดันไฟฟ้าเกินชั่วขณะ (Voltage Surges) หรือฟ้าผ่าสายดินจะช่วยเป็นเส้นทางนำพากระแสไฟฟ้าพลังงานสูงเหล่านั้นลงสู่ดิน ลดความเสี่ยงที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าจะเสียหาย
- ช่วยให้อุปกรณ์ป้องกันทำงานได้สมบูรณ์ การมีอยู่ของสายดินทำให้กระแสไฟฟ้ารั่วไหลในปริมาณมากพอที่จะกระตุ้นให้อุปกรณ์ป้องกัน เช่น เซอร์กิตเบรกเกอร์ (Circuit Breaker) หรือเครื่องตัดไฟรั่ว (RCD/RCBO) ทำงานและตัดวงจรไฟฟ้าทันที
- รักษาระดับแรงดันไฟฟ้าให้คงที่ ระบบสายดินช่วยสร้างจุดอ้างอิงศักย์ไฟฟ้า (Voltage Reference Point) ที่ 0 โวลต์ ซึ่งช่วยให้แรงดันไฟฟ้าในระบบมีความเสถียร ลดผลกระทบจากสัญญาณรบกวน (Noise) ในระบบ
ความแตกต่างระหว่างสายดินและสายนิวทรัล
หลายคนมักสับสนระหว่างสายดิน (Ground) และ สายนิวทรัล (Neutral) แม้ว่าทั้งสองสายจะเชื่อมต่อกันที่จุดเดียวในระบบ (ณ ตู้ควบคุมหลัก หรือ MDB) แต่ก็มีหน้าที่ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
- สายนิวทรัล (Neutral – N) สายนิวทรัล คือสายไฟที่เป็นส่วนหนึ่งของวงจรไฟฟ้าปกติ ทำหน้าที่เป็นเส้นทางให้กระแสไฟฟ้าไหลกลับไปยังแหล่งจ่ายไฟ (เช่น หม้อแปลงไฟฟ้า) เพื่อให้วงจรไฟฟ้าครบถ้วนสมบูรณ์ในภาวะการทำงานปกติ โดยทั่วไปสายนิวทรัลจะมีศักย์ไฟฟ้าใกล้เคียง 0 โวลต์ (เทียบกับดิน) แต่ “มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน” ตลอดเวลาที่เครื่องใช้ไฟฟ้าทำงาน
- สายดิน (Ground – G หรือ E) สายดิน คือสายไฟเพื่อความปลอดภัย “ห้ามมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านในภาวะปกติ” โดยเด็ดขาด หน้าที่ของมันคือการเชื่อมต่อโครงโลหะของอุปกรณ์ต่างๆ ที่ไม่ได้ใช้งานไฟฟ้าไว้กับดิน เพื่อรอรับมือกับเหตุการณ์ผิดปกติเท่านั้น หากเกิดไฟฟ้ารั่วสายดินจะทำหน้าที่เป็น “ทางด่วน” ให้กระแสไฟฟ้ารั่วไหลลงดินทันที
การแยกหน้าที่ของสองสายนี้อย่างชัดเจนเป็นหัวใจสำคัญของความปลอดภัย หากนำสายดินไปใช้งานแทนสายนิวทรัล จะทำให้โครงสร้างโลหะของอุปกรณ์ไฟฟ้ามีกระแสไหลผ่านตลอดเวลา และก่อให้เกิดอันตรายจากไฟฟ้าดูดได้
ทำไมทุกบ้านต้องมีสายดิน
การติดตั้งระบบสายดินไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็น “ข้อบังคับ” ตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านวิศวกรรมไฟฟ้า เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสูงสุดสำหรับผู้อยู่อาศัยและทรัพย์สิน
ป้องกันไฟฟ้าดูด
นี่คือเหตุผลที่สำคัญที่สุด เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉนวนของสายไฟภายในเครื่องใช้ไฟฟ้า (เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า หรือเครื่องทำน้ำอุ่น) ชำรุด และสายไฟที่มีไฟ (Live Wire) สัมผัสกับโครงโลหะ โครงโลหะนั้นจะมีแรงดันไฟฟ้า 220 โวลต์ทันที หากไม่มีสายดินเมื่อมีคนไปสัมผัส กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านร่างกายคนนั้นลงสู่พื้น ทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต แต่ถ้ามีสายดินกระแสไฟฟ้ารั่วจะเลือกไหลผ่านสายดิน ซึ่งมีความต้านทานต่ำกว่าร่างกายมนุษย์หลายเท่า ลงสู่ดินไปทันที
ป้องกันความเสียหายต่อเครื่องใช้ไฟฟ้า
ในระบบไฟฟ้าอาจเกิดแรงดันไฟฟ้ากระชาก (Voltage Spikes) หรือแรงดันเกินชั่วขณะ (Transient Overvoltage) ได้จากหลายสาเหตุ เช่น ฟ้าผ่าใกล้เคียง หรือการเปิด-ปิดอุปกรณ์ขนาดใหญ่ในโรงงานอุตสาหกรรม ระบบสายดินที่ดีจะช่วยเป็นเส้นทางระบายพลังงานส่วนเกินเหล่านี้ลงสู่ดิน ก่อนที่มันจะสร้างความเสียหายให้กับแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความละเอียดอ่อนในคอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าสมัยใหม่
เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย
การติดตั้งระบบสายดินเป็นข้อกำหนดตามมาตรฐานการติดตั้งทางไฟฟ้าสำหรับประเทศไทย (มาตรฐาน วสท.) และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การมีระบบสายดินที่ถูกต้องไม่เพียงแต่เป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ยังสะท้อนถึงความใส่ใจในความปลอดภัยพื้นฐานของอาคารสถานที่นั้นๆ ด้วย อาคารที่ไม่มีสายดินจะไม่ผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยและอาจไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้งาน
เข้าใจง่ายๆ กับหลักการทำงานของสายดิน
หลักการพื้นฐานของสายดิน คือ “ไฟฟ้าจะเลือกเดินทางในเส้นทางที่มีความต้านทานต่ำที่สุดเสมอ” ระบบสายดินจึงถูกออกแบบมาให้เป็นเส้นทางที่ “ง่ายที่สุด” สำหรับกระแสไฟที่หลงทาง
การทำงานในภาวะปกติ
ในภาวะที่เครื่องใช้ไฟฟ้าทำงานปกติ กระแสไฟฟ้าจะไหลจากสายเฟส (Line) ผ่านเครื่องใช้ไฟฟ้า และไหลกลับทางสายนิวทรัล (Neutral) เพื่อครบวงจร ในขณะนี้สายดินที่เชื่อมต่อกับโครงเครื่องใช้ไฟฟ้าจะ “อยู่นิ่งๆ” ไม่ทำหน้าที่ใดๆ และไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน เปรียบเสมือนท่อระบายน้ำฉุกเฉินที่ยังไม่มีน้ำล้นเข้ามา
การทำงานเมื่อเกิดไฟฟ้ารั่ว
สมมติว่าเกิดเหตุฉนวนสายไฟชำรุด ทำให้สายเฟส (Line) สัมผัสกับโครงโลหะของเครื่องซักผ้า
- เกิดไฟรั่ว โครงโลหะของเครื่องซักผ้าจะมีสถานะ “มีไฟ” เทียบเท่าสายเฟส
- สายดินทำงาน สายดินที่ต่ออยู่กับโครงโลหะ จะรับกระแสไฟฟ้ารั่วนี้ทันที
- สร้างทางลัด เนื่องจากสายดินถูกออกแบบให้มีความต้านทานต่ำมาก (ตามมาตรฐานควรต่ำกว่า 5 โอห์ม) กระแสไฟฟ้าจำนวนมหาศาล (เกือบเท่าการลัดวงจร) จะไหลผ่านสายดินนี้กลับไปยังจุดต่อลงดินที่ตู้ MDB และไหลลงสู่หลักดิน
- อุปกรณ์ป้องกันทำงาน การไหลของกระแสไฟฟ้ารั่วปริมาณมากนี้ จะทำให้เซอร์กิตเบรกเกอร์ หรือ ฟิวส์ “ตัด” วงจร (Trip) ทันที
- กรณีเครื่องตัดไฟรั่ว (RCD/RCBO) หากระบบมีเครื่องตัดไฟรั่ว อุปกรณ์นี้จะตรวจจับได้ทันทีว่ากระแสไฟฟ้าที่ไหลออกไปทางสายเฟส (L) และไหลกลับทางสายนิวทรัล (N) “ไม่เท่ากัน” (เพราะมีส่วนหนึ่งรั่วไหลไปทางสายดิน) แม้เพียงเล็กน้อย (เช่น 30 มิลลิแอมป์) เครื่องตัดไฟรั่วก็จะทำงานและตัดวงจรทันที ซึ่งไวกว่าเบรกเกอร์ทั่วไป และเป็นเหตุผลว่าทำไมเครื่องตัดไฟรั่วจึงทำงานได้สมบูรณ์เมื่อมีสายดินเท่านั้น
ผลลัพธ์คือ แหล่งจ่ายไฟถูกตัดออกไปก่อนที่คนจะมาสัมผัส หรือทันทีที่เกิดการรั่วไหล ทำให้ผู้ใช้งานปลอดภัย

การติดตั้งสายดินที่ถูกต้องและปลอดภัย
การมีสายดินนั้นสำคัญ แต่การติดตั้งสายดินให้ “ถูกต้องตามมาตรฐาน” นั้นสำคัญยิ่งกว่า เพราะหากติดตั้งผิดพลาด ระบบสายดินก็จะไม่สามารถทำหน้าที่ป้องกันอันตรายได้เลย
มาตรฐานสีของสายดิน
ตามมาตรฐานสากล (IEC) และมาตรฐานของประเทศไทย (มอก. 11-2553) สีของฉนวนสายไฟมีความหมายชัดเจน
- สายเฟส (Line) สีน้ำตาล, สีดำ, สีเทา
- สายนิวทรัล (Neutral) สีฟ้า
- สายดิน (Ground) สีเขียวแถบเหลือง (Green/Yellow)
การใช้สีที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการติดตั้งและบำรุงรักษา เพื่อป้องกันความสับสนที่อาจนำไปสู่อันตรายร้ายแรง การเลือกใช้สายไฟที่ผลิตได้มาตรฐานจาก โรงงานผลิตสายไฟ ที่เชื่อถือได้ จึงเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ
ส่วนประกอบของระบบสายดิน
ระบบสายดินที่สมบูรณ์ไม่ได้มีเพียงสายไฟสีเขียวแถบเหลือง แต่ประกอบด้วยหลายส่วนทำงานร่วมกัน:
- หลักดิน (Ground Rod) คือแท่งโลหะ (ส่วนใหญ่นิยมแท่งเหล็กหุ้มทองแดง) ขนาดมาตรฐาน (เช่น 5/8 นิ้ว ยาว 2.4 เมตร) ที่ตอกลงไปในพื้นดินให้ลึกที่สุด เพื่อสร้างการเชื่อมต่อทางไฟฟ้ากับพื้นโลก
- สายต่อหลักดิน (Grounding Electrode Conductor) คือสายไฟเส้นใหญ่ (มักเป็นสายเดี่ยวเช่น สาย THW สีเขียว) ที่เชื่อมต่อระหว่างหลักดิน กับจุดต่อลงดินหลักในตู้ไฟฟ้า (MDB)
- จุดต่อลงดินหลัก (Main Ground Bar) คือบาร์ทองแดงในตู้ MDB ซึ่งเป็นจุดที่สายนิวทรัล (N) และสายดิน (G) ถูกเชื่อมต่อกัน (Bonding) เพียง “จุดเดียว” ในระบบไฟฟ้าทั้งหมด
- สายดินของวงจรย่อย (Equipment Grounding Conductor) คือสายดิน (สีเขียวแถบเหลือง) ที่เดินไปพร้อมกับสาย L และ N ในวงจรต่างๆ อาจเป็นสายที่ร้อยในท่อ หรือเป็นส่วนหนึ่งของสายเคเบิลแบบหลายแกน เช่น สาย VCT ชนิด VCT-G (ซึ่งจะมีแกนสายดินรวมอยู่ด้วย) เพื่อเชื่อมต่อกับเต้ารับ 3 รู หรือโครงโลหะของอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกจุด
วิธีตรวจสอบว่าบ้านของคุณมีสายดินหรือไม่
การตรวจสอบเบื้องต้นสามารถทำได้ดังนี้
- สังเกตเต้ารับ (Wall Outlet) เต้ารับในบ้านเป็นแบบ 3 รู หรือไม่? เต้ารับ 3 รู (ที่มีรูกลมหรือรูตัว D) ถูกออกแบบมาสำหรับปลั๊ก 3 ขา ซึ่งขากลางคือขากราวด์ (สายดิน) หากบ้านทั้งหลังเป็นเต้ารับ 2 รู นั่นเป็นสัญญาณว่าระบบอาจไม่มีสายดิน (แม้ว่าเต้ารับ 3 รู ก็ไม่ได้การันตี 100% ว่ามีการต่อสายดินไว้จริง)
- ตรวจสอบตู้ควบคุมไฟฟ้า (MDB) (ควรทำโดยผู้มีความรู้) เปิดฝาตู้ MDB สังเกตว่ามี “บาร์กราวด์” (Ground Bar) แยกต่างหากจาก “บาร์นิวทรัล” (Neutral Bar) หรือไม่ และมีสายไฟสีเขียวหรือเขียวแถบเหลืองต่ออยู่เต็มบาร์หรือไม่ และที่สำคัญ ต้องมีสายต่อหลักดินเส้นใหญ่ วิ่งออกจากบาร์กราวด์ไปยังภายนอกอาคาร (เพื่อไปหาหลักดิน)
- ใช้เครื่องมือวัด (Outlet Tester) มีเครื่องมือทดสอบเต้ารับราคาไม่แพง ที่สามารถเสียบเพื่อตรวจสอบสถานะการเชื่อมต่อได้ว่า เต้ารับนั้นมีสายดินหรือไม่ และต่อสาย L/N/G ถูกต้องหรือไม่
- ปรึกษาช่างไฟฟ้าผู้เชี่ยวชาญ วิธีที่แน่นอนที่สุด คือการจ้างช่างไฟฟ้าที่มีคุณวุฒิมาตรวจสอบระบบ สายดิน ทั้งหมด รวมถึงการวัดค่าความต้านทานของหลักดิน (ซึ่งควรมีค่าน้อยกว่า 5 โอห์มตามมาตรฐาน)
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสายดิน
ใช้เต้ารับแบบ 2 รู สามารถติดตั้งระบบสายดินภายหลังได้หรือไม่
สามารถทำได้ แต่ถือเป็นการปรับปรุงระบบไฟฟ้าครั้งใหญ่ (Major Retrofit) โดยต้องเริ่มจากการติดตั้ง “ระบบสายดินหลัก” คือการตอกหลักดิน (Ground Rod) ตามมาตรฐาน และเชื่อมต่อเข้ากับตู้ควบคุมไฟฟ้าหลัก (MDB) จากนั้นจำเป็นต้องเดินสายไฟเส้นที่สาม (สายดิน) เพิ่มเติมไปยังเต้ารับและจุดจ่ายไฟต่างๆ ทั่วบ้าน ซึ่งมักจะต้องมีการรื้อผนังหรือเดินท่อร้อยสายไฟใหม่ และเปลี่ยนเต้ารับเดิมจาก 2 รู เป็น 3 รู โดยทั้งหมดนี้ต้องดำเนินการโดยช่างไฟฟ้าผู้ชำนาญการเท่านั้น เพื่อให้ถูกต้องตามมาตรฐานความปลอดภัย
ใช้ปลั๊กแปลง 3 ขา เป็น 2 ขา เสียบกับเต้ารับที่ไม่มีสายดิน ปลอดภัยหรือไม่
ไม่ปลอดภัย การใช้ปลั๊กแปลงลักษณะนี้ คือการ “ตัด” ระบบความปลอดภัยของเครื่องใช้ไฟฟ้าออกไปโดยสิ้นเชิง ขาที่ 3 ของปลั๊กคือขาสายดินที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันไฟดูด เมื่อใช้ตัวแปลง ขาสายดินของเครื่องใช้ไฟฟ้าจะไม่ได้เชื่อมต่อกับอะไรเลย หากเกิดไฟฟ้ารั่วขึ้นที่โครงเครื่องใช้ไฟฟ้า ไฟฟ้านั้นจะไม่มีทางไหลลงดิน ทำให้ผู้ใช้งานมีความเสี่ยงสูงมากที่จะถูกไฟฟ้าดูดโดยตรง จึงไม่แนะนำให้ใช้งานเด็ดขาด
ทำไมเครื่องใช้ไฟฟ้าบางชนิดถึงมีแค่ 2 ขา ไม่จำเป็นต้องใช้สายดิน
เนื่องจากเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ถูกออกแบบตามมาตรฐาน “ฉนวนสองชั้น” (Double Insulation) ซึ่งมักสังเกตได้จากสัญลักษณ์รูปสี่เหลี่ยมซ้อนกัน (☐) บนตัวผลิตภัณฑ์ อุปกรณ์เหล่านี้มีโครงสร้างภายนอกที่ทำจากวัสดุที่เป็นฉนวนไฟฟ้า (เช่น พลาสติก) ทั้งหมด ทำให้ไม่มีส่วนที่เป็นโลหะภายนอกที่กระแสไฟจะรั่วออกมาสัมผัสกับผู้ใช้งานได้ ด้วยเหตุนี้ จึงไม่จำเป็นต้องมีสายดินเพื่อป้องกันไฟดูด และสามารถใช้ปลั๊กแบบ 2 ขาได้อย่างปลอดภัย
ระบบสายดิน กับ ระบบสายล่อฟ้า ใช่สิ่งเดียวกันหรือไม่
ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน แม้ว่าทั้งสองระบบจะใช้ “ดิน” เป็นที่ทิ้งประจุไฟฟ้า แต่มีวัตถุประสงค์ต่างกันชัดเจน
- ระบบสายดิน (Earthing) มีไว้เพื่อความปลอดภัยของ “ผู้ใช้งาน” จาก “ไฟฟ้ารั่ว” ภายในอาคาร โดยเป็นเส้นทางให้กระแสไฟที่ผิดปกติในระบบ (เช่น 220V) ไหลลงดิน
- ระบบสายล่อฟ้า (Lightning) มีไว้เพื่อป้องกัน “ตัวอาคาร” จาก “ฟ้าผ่า” ซึ่งเป็นพลังงานมหาศาลจากภายนอก โดยเป็นตัวนำกระแสฟ้าผ่าจากบนสุดของอาคารลงสู่ดินอย่างปลอดภัย
แม้ในทางปฏิบัติ ระบบหลักดินของทั้งสองอาจต้องเชื่อมต่อกัน (Bonding) ตามมาตรฐาน แต่ก็ทำหน้าที่ป้องกันคนละส่วนกัน
ต้องใช้สายไฟประเภทใด และขนาดเท่าไหร่ ในการเดินสายดินในบ้าน?
ตามมาตรฐานการติดตั้งทางไฟฟ้า สายดินต้องใช้สายไฟหุ้มฉนวนที่มีสี “เขียวแถบเหลือง” เท่านั้น ประเภทสายไฟที่นิยมใช้เดินร้อยท่อภายในอาคารคือ สาย THW (ซึ่งเป็นสายแกนเดี่ยว) ส่วน “ขนาด” ของสายดินจะขึ้นอยู่กับขนาดของอุปกรณ์ป้องกัน (เซอร์กิตเบรกเกอร์) ของวงจรนั้นๆ ซึ่งมีตารางกำหนดไว้ในมาตรฐาน วสท. อย่างชัดเจน (เช่น วงจรเบรกเกอร์ 16-20A ควรใช้สายดินขนาด 2.5 sq.mm.) การเลือกขนาดสายดินที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญมาก จึงควรปรึกษาช่างไฟฟ้าหรือวิศวกรเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย

สรุปบทความ
สายดินไม่ใช่อุปกรณ์เสริม แต่เป็นองค์ประกอบหลักด้านความปลอดภัยในระบบไฟฟ้าที่ทุกอาคารต้องมี การทำความเข้าใจหน้าที่และหลักการทำงานของสายดิน ช่วยให้ตระหนักถึงความสำคัญในการป้องกันไฟฟ้าดูด ปกป้องเครื่องใช้ไฟฟ้า และสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การติดตั้งที่ถูกต้องตามมาตรฐานโดยผู้เชี่ยวชาญ และการเลือกใช้วัสดุสายไฟที่มีคุณภาพ คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้ระบบสายดินทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
สำหรับผู้ประกอบการ วิศวกร หรือช่างไฟฟ้า ที่กำลังมองหาสายไฟฟ้าและสายไฟแรงสูงคุณภาพสูงที่ได้มาตรฐานสากล Fuhrer เราคือหนึ่งในผู้นำโรงงานผลิตสายไฟที่พร้อมให้บริการและให้คำปรึกษา ด้วยประสบการณ์ยาวนานกว่า 40 ปี และความไว้วางใจจากโครงการสำคัญทั้งภาครัฐและเอกชนมากมาย เรามุ่งมั่นส่งมอบผลิตภัณฑ์สายไฟฟ้าที่ดีที่สุด เพื่อความปลอดภัยสูงสุดสำหรับทุกโครงการ
การเดินสายไฟเปรียบเสมือนการสร้างเครือข่ายเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงอาคารและเครื่องจักร การมีสายไฟหลากหลายสีสายไฟ อาจทำให้เกิดความสับสนไม่น้อยสำหรับผู้ที่ไม่ได้คลุกคลีในวงการ ว่าสายไฟแต่ละสีนั้นมีความหมายอย่างไร และควรเลือกใช้งานอย่างไรให้ถูกต้องและปลอดภัย วันนี้ Fuhrer ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสายไฟฟ้าคุณภาพสูง ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน จะมาไขข้อกระจ่างเกี่ยวกับมาตรฐานสีสายไฟ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าใจและนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมั่นใจ
ถอดรหัสความหมายสีสายไฟตามมาตรฐานใหม่
เพื่อความเป็นสากล ประเทศไทยได้มีการปรับปรุงมาตรฐานสีสายไฟ โดยอ้างอิงตามมาตรฐาน มอก. 11-2553 ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐาน IEC 60227 ทำให้สีสายไฟในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปจากมาตรฐานเดิม (มอก. 11-2531) การทำความเข้าใจมาตรฐานใหม่นี้จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

ระบบไฟฟ้า 1 เฟส (ที่ใช้ตามบ้านเรือนทั่วไป)
ระบบไฟฟ้า 1 เฟส 2 สาย (หรือ 3 สาย รวมสายดิน) เป็นระบบที่คุ้นเคยกันดีในบ้านพักอาศัย อาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก หรือคอนโดมิเนียม โดยทั่วไปจะจ่ายแรงดันไฟฟ้าที่ 220-230 โวลต์ การทำความเข้าใจสีสายไฟในระบบนี้จึงใกล้ตัวเรามากที่สุด โดยมีรายละเอียดดังนี้
สายเฟส (L – Line): สีน้ำตาล
นี่คือสาย “เส้นที่มีไฟ” ทำหน้าที่นำกระแสไฟฟ้าและแรงดันไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายไฟมายังอุปกรณ์ไฟฟ้า เป็นสายที่อันตรายที่สุด หากสัมผัสโดยตรงจะถูกไฟฟ้าดูด ในการติดตั้งสวิตช์ไฟ จะต้องต่อสวิตช์เพื่อตัดวงจรที่สายเส้นนี้เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อปิดสวิตช์แล้ว จะไม่มีกระแสไฟไปรอที่ขั้วหลอดไฟ การใช้สายไฟประเภทสาย THW เป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับการเดินสายเฟสในท่อร้อยสายไฟภายในอาคาร เนื่องจากเป็นสายแกนเดี่ยวที่ทนทานและนำไฟฟ้าได้ดี
สายนิวทรัล (N – Neutral): สีฟ้า
นี่คือสาย “เส้นที่ไม่มีไฟ” (หรือ “สายเย็น”) ทำหน้าที่เป็นสายที่นำกระแสไฟฟ้าไหลกลับไปยังแหล่งจ่ายไฟเพื่อให้วงจรครบถ้วน แม้ว่าตามทฤษฎีสายนิวทรัลจะมีศักย์ไฟฟ้าเป็นศูนย์โวลต์ (เทียบกับดิน) แต่ในทางปฏิบัติ ห้ามสัมผัสสายนี้โดยตรงเด็ดขาด เพราะหากมีกระแสไฟฟ้าไหลในวงจร (แม้จะปิดสวิตช์แต่ตัดแค่สาย L) หรือหากเกิดความไม่สมดุลในระบบ สายนี้ก็อาจมีแรงดันไฟฟ้าและเป็นอันตรายได้
สายดิน (G – Ground): สีเขียวแถบเหลือง
นี่คือสาย “สายป้องกัน” ที่มีความสำคัญต่อชีวิตอย่างยิ่ง ทำหน้าที่เชื่อมต่อโครงโลหะของเครื่องใช้ไฟฟ้าลงไปยังหลักดินที่ฝังอยู่ในพื้นดิน ในสภาวะปกติจะไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟฟ้ารั่ว (เช่น ฉนวนสายไฟชำรุด ทำให้กระแสไฟสัมผัสกับโครงเครื่อง) กระแสไฟที่รั่วออกมาจะไหลผ่านสายดินนี้ลงพื้นดินอย่างรวดเร็ว ทำให้เครื่องตัดไฟรั่ว (RCD/RCBO) ทำงาน และตัดวงจรไฟฟ้าทันที ป้องกันไม่ให้ผู้ใช้งานถูกไฟฟ้าดูด การใช้สีสายไฟนี้จึงเป็นข้อบังคับที่ห้ามละเลย

ระบบไฟฟ้า 3 เฟส (ที่ใช้ในอาคารขนาดใหญ่และโรงงาน)
ระบบไฟฟ้า 3 เฟส 4 สาย (หรือ 5 สาย รวมสายดิน) เป็นระบบที่ใช้สำหรับสถานที่ที่ต้องการกำลังไฟฟ้าสูง เช่น โรงงานอุตสาหกรรม อาคารสำนักงานขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้า หรือโรงพยาบาล ระบบนี้จ่ายแรงดันไฟฟ้าระหว่างสายเฟสที่ 380-400 โวลต์ และแรงดันระหว่างสายเฟสกับนิวทรัลที่ 220-230 โวลต์ การระบุสีสายไฟในระบบนี้มีความซับซ้อนกว่า แต่ก็จำเป็นอย่างยิ่งยวดเพื่อความปลอดภัยและการจ่ายไฟที่สมดุล
สายเฟส (L1): สีน้ำตาล
สายเฟสที่ 1 ในระบบ 3 เฟส ทำหน้าที่นำกระแสไฟฟ้าเช่นเดียวกับระบบ 1 เฟส แต่เป็นหนึ่งในสามของแหล่งจ่ายไฟที่สลับกัน
สายเฟส (L2): สีดำ
สายเฟสที่ 2 ในระบบ 3 เฟส มีหน้าที่เช่นเดียวกับ L1 แต่มีมุมเฟสของคลื่นไฟฟ้าต่างกัน (ปกติคือ 120 องศา)
สายเฟส (L3): สีเทา
สายเฟสที่ 3 ในระบบ 3 เฟส ทำหน้าที่เช่นเดียวกับ L1 และ L2 แต่มีมุมเฟสต่างออกไปอีก 120 องศา การเรียงลำดับเฟส (Phase Sequence) ของ L1, L2, L3 (น้ำตาล, ดำ, เทา) มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำงานของมอเตอร์ 3 เฟส หากสลับกันอาจทำให้มอเตอร์หมุนกลับทาง
สายนิวทรัล (N): สีฟ้า
ในระบบ 3 เฟส (แบบ Wye หรือ Star) สายนิวทรัลทำหน้าที่เป็นจุดร่วมและเป็นทางเดินของกระแสไฟฟ้าในกรณีที่โหลดในแต่ละเฟสไม่สมดุล (Unbalanced Load) และยังเป็นจุดที่ให้แรงดัน 220V (เทียบกับเฟส) สำหรับใช้งานกับระบบแสงสว่างหรือปลั๊กไฟทั่วไป
สายดิน (G): สีเขียวแถบเหลือง
ทำหน้าที่ป้องกันไฟฟ้ารั่วเช่นเดียวกับระบบ 1 เฟส แต่มีความสำคัญมากขึ้นเนื่องจากระดับพลังงานและแรงดันไฟฟ้าในระบบ 3 เฟสสูงกว่ามาก การมีระบบสายดินที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นหัวใจของความปลอดภัยในโรงงานอุตสาหกรรม สำหรับการเดินสายระบบ 3 เฟส มักนิยมใช้สายไฟฟ้ากำลังชนิดหุ้มฉนวนหลายชั้น เช่น สาย CV (สาย XLPE) หรือ สาย NYY, NYY-G (สาย PVC) ซึ่งมีความทนทานสูงและมักมีสายดิน (G) รวมอยู่ในโครงสร้างสายเคเบิลด้วย (เช่น NYY-G)
ระบบไฟฟ้ากระแสตรง (DC)
นอกเหนือจากไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ที่ใช้ตามบ้านและโรงงานแล้ว ระบบไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ก็มีความสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะในระบบโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่สำรองไฟ (UPS) ระบบสื่อสารโทรคมนาคม หรือในยานยนต์ไฟฟ้า การกำหนดสีสายไฟสำหรับระบบ DC ก็มีมาตรฐานเช่นกัน เพื่อป้องกันการต่อสลับขั้วที่อาจสร้างความเสียหายร้ายแรงต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ขั้วบวก (+): สีแดง
เป็นสายที่นำศักย์ไฟฟ้าบวก (+) จากแหล่งจ่ายไฟ DC (เช่น แบตเตอรี่ หรือ แผงโซลาร์เซลล์) ไปยังโหลดหรืออุปกรณ์ การระบุสีแดงสำหรับขั้วบวกเป็นมาตรฐานที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดทั่วโลก
ขั้วลบ (-): สีดำ หรือ สีน้ำเงิน (ฟ้า)
เป็นสายที่นำศักย์ไฟฟ้าลบ (-) หรือเป็นสายที่ต่อกลับไปยังขั้วลบของแหล่งจ่ายไฟเพื่อให้วงจรครบ โดยทั่วไปมักใช้ สีดำ เป็นมาตรฐานหลักสำหรับขั้วลบในระบบ DC อย่างไรก็ตาม ในบางระบบ (โดยเฉพาะระบบที่เกี่ยวข้องกับโทรคมนาคมหรือระบบที่มีการต่อลงดินที่ขั้วบวก) อาจใช้ สีน้ำเงิน (ฟ้า) เพื่อแทนขั้วลบ แต่ต้องระมัดระวังไม่ให้สับสนกับสายนิวทรัล (สีฟ้า) ในระบบ AC
ตารางสรุปมาตรฐานสีสายไฟ เข้าใจง่ายในภาพเดียว
เพื่อให้เห็นภาพและจดจำได้ง่ายขึ้น เราได้สรุปสีสายไฟตามมาตรฐานใหม่ (มอก. 11-2553) เปรียบเทียบกับมาตรฐานเก่า (มอก. 11-2531) และระบบ DC เพื่อให้สามารถอ้างอิงได้อย่างรวดเร็ว
| ระบบไฟฟ้า | หน้าที่ของสาย (ตัวย่อ) | มาตรฐานใหม่ (มอก. 11-2553) | มาตรฐานเก่า (มอก. 11-2531) |
| 1 เฟส (AC) | สายเฟส (L) | สีน้ำตาล | สีดำ |
| สายนิวทรัล (N) | สีฟ้า | สีเทา หรือ สีขาว | |
| สายดิน (G) | สีเขียวแถบเหลือง | สีเขียว หรือ สีเขียวแถบเหลือง | |
| 3 เฟส (AC) | สายเฟส 1 (L1) | สีน้ำตาล | สีดำ |
| สายเฟส 2 (L2) | สีดำ | สีแดง | |
| สายเฟส 3 (L3) | สีเทา | สีน้ำเงิน (ฟ้า) | |
| สายนิวทรัล (N) | สีฟ้า | สีเทา หรือ สีขาว | |
| สายดิน (G) | สีเขียวแถบเหลือง | สีเขียว หรือ สีเขียวแถบเหลือง | |
| กระแสตรง (DC) | ขั้วบวก (+) | สีแดง | (อ้างอิงมาตรฐานสากล) |
| ขั้วลบ (-) | สีดำ (หรือ สีฟ้า/น้ำเงิน) | (อ้างอิงมาตรฐานสากล) |
การทำความเข้าใจตารางเปรียบเทียบนี้มีประโยชน์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อต้องเข้าไปทำงานซ่อมบำรุงในอาคารเก่าที่ยังใช้สีสายไฟตามมาตรฐานเดิม การทราบว่าสีใดถูกแทนที่ด้วยสีใด จะช่วยป้องกันการต่อสลับสายที่อาจเกิดขึ้นได้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสีสายไฟ
ทำไมต้องเปลี่ยนมาตรฐานสีสายไฟใหม่ (มอก. 11-2553)
เหตุผลหลักในการเปลี่ยนแปลงคือ ความปลอดภัย และ ความเป็นสากล ในอดีต ประเทศไทยมีมาตรฐานสีของตนเอง (เช่น L เป็นสีดำ, N เป็นสีเทา) แต่ในปัจจุบันมีการนำเข้าอุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องจักรจากต่างประเทศ (โดยเฉพาะยุโรป) มากขึ้น ซึ่งใช้มาตรฐานสีแบบ IEC (L เป็นสีน้ำตาล, N เป็นสีฟ้า)
การใช้มาตรฐานที่แตกต่างกันสร้างความสับสนอย่างมากในการติดตั้งและซ่อมบำรุง และอาจนำไปสู่การต่อสายไฟผิดพลาดซึ่งอันตรายถึงชีวิต การปรับปรุงมาตรฐานสีสายไฟให้เป็นหนึ่งเดียวจึงช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ และทำให้ช่างไฟฟ้าและวิศวกรสามารถทำงานได้ถูกต้องตามหลักสากล
บ้านเก่าที่เดินสายไฟตามมาตรฐานเดิม จำเป็นต้องเปลี่ยนสายไฟใหม่ทั้งหมดหรือไม่
หากระบบสายไฟเดิมยังคงอยู่ในสภาพดี ฉนวนไม่เสื่อมสภาพ (ไม่แตกร้าวหรือกรอบ) และยังใช้งานได้อย่างปลอดภัย ก็ยัง “ไม่จำเป็น” ต้องรื้อถอนเพื่อเปลี่ยนสีสายไฟใหม่ในทันที
อย่างไรก็ตาม หากมีการปรับปรุง ต่อเติม หรือซ่อมแซมระบบไฟฟ้าในจุดใดจุดหนึ่ง สายไฟที่ติดตั้ง “ใหม่” ทั้งหมด จะต้องใช้สีตามมาตรฐาน มอก. 11-2553 (มาตรฐานใหม่) เท่านั้น
สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องพึงระวังคือ บริเวณจุดเชื่อมต่อ ระหว่างสายไฟเก่าและใหม่ ช่างไฟฟ้าต้องมีความระมัดระวังสูงสุดในการระบุสายไฟเก่าให้ถูกต้อง (L, N, G) ก่อนทำการเชื่อมต่อ และควรมีการทำเครื่องหมายหรือบันทึกไว้ให้ชัดเจน เพื่อป้องกันความสับสนที่อาจนำไปสู่อันตรายร้ายแรงในอนาคต
จะเกิดอะไรขึ้นหากต่อสายไฟผิดสี
นี่คือหนึ่งในความผิดพลาดที่ “อันตรายร้ายแรงที่สุด” ในการติดตั้งระบบไฟฟ้า และต้องไม่เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด หากมีการต่อสลับกันระหว่างสายนิวทรัล (N) และสายดิน (G) จะส่งผลดังนี้:
- เครื่องตัดไฟรั่ว (RCD/RCBO) จะไม่ทำงาน อุปกรณ์ป้องกันไฟดูดเหล่านี้ทำงานโดยการตรวจสอบกระแสไฟที่ไหลเข้า (L) และไหลออก (N) หากกระแสไฟรั่ว (เช่น ไหลจาก L ไป G) มันจะตัดวงจรทันที แต่หากเราต่อ N สลับกับ G กลไกการตรวจจับนี้จะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
- เกิดไฟฟ้ารั่วที่โครงอุปกรณ์ โดยปกติกระแสไฟจะไหลกลับทางสายนิวทรัล (N) แต่เมื่อสลับกัน กระแสไฟใช้งานปกติจะพยายามไหลกลับทางสายดิน (G) แทน ซึ่งจะทำให้โครงโลหะของเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดในระบบ (เช่น ตู้เย็น, เครื่องซักผ้า, คอมพิวเตอร์) ที่ต่อกับสายดิน “มีไฟ” ตลอดเวลา
- เสี่ยงต่อการถูกไฟฟ้าดูดถึงชีวิต เมื่อผู้ใช้งานไปสัมผัสโครงเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านั้น กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านร่างกายผู้สัมผัสลงสู่พื้นทันที ทำให้ถูกไฟฟ้าดูดอย่างรุนแรง
หากไม่แน่ใจสีสายไฟในอาคารเก่า หรือสีซีดจาง มีวิธีตรวจสอบอย่างไร
ห้ามคาดเดาสีสายไฟที่ซีดจางหรือไม่ชัดเจนโดยเด็ดขาด การตรวจสอบที่ถูกต้อง “จำเป็นต้องใช้เครื่องมือวัดทางไฟฟ้า” และต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญหรือช่างไฟฟ้าที่มีความชำนาญเท่านั้น
วิธีการตรวจสอบที่ถูกต้อง คือการใช้ มัลติมิเตอร์ (Multimeter) ในการวัดแรงดันไฟฟ้า (Voltage) โดยมีหลักการ (ในระบบ 1 เฟส) ดังนี้:
- การหา L (สายเฟส) ใช้มัลติมิเตอร์วัดแรงดันเทียบระหว่างสายที่สงสัยกับจุดที่มั่นใจว่าเป็นสายดิน (G) หรือสายนิวทรัล (N)
- วัดแรงดันระหว่าง L กับ N: ควรรีค่าได้ประมาณ 220-230V
- วัดแรงดันระหว่าง L กับ G: ควรรีค่าได้ประมาณ 220-230V
- การยืนยัน N และ G
- วัดแรงดันระหว่าง N กับ G: ควรรีค่าได้ “ใกล้เคียง 0V” มากที่สุด (ในระบบที่ปกติ)
เนื่องจากการตรวจสอบนี้ต้องทำงานกับกระแสไฟฟ้าจริงและมีความซับซ้อนสูง (เช่น อาจเจอกรณี N ลอย หรือ G ไม่มีประสิทธิภาพ) จึงย้ำว่า ควรให้ช่างไฟฟ้าผู้ชำนาญการเป็นผู้ดำเนินการเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

สรุปบทความ
มาตรฐานสีสายไฟ ไม่ใช่เป็นเพียงข้อกำหนดทางเทคนิคที่ซับซ้อน แต่เป็น “ภาษาสากลแห่งความปลอดภัย” ที่ช่วยให้การติดตั้ง การใช้งาน และการบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าเป็นไปอย่างถูกต้อง ลดความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน การทำความเข้าใจความหมายของสีสายไฟในแต่ละระบบ ทั้ง 1 เฟส, 3 เฟส และ DC ตามมาตรฐาน มอก. 11-2553 จึงเป็นความรู้พื้นฐานที่สำคัญสำหรับทุกคน
สำหรับผู้ประกอบการ เจ้าของโครงการ หรือวิศวกร ที่กำลังมองหาสายไฟฟ้าคุณภาพสูงที่ผลิตตาม มาตรฐานสายไฟ สากลอย่างเคร่งครัด Fuhrer คือพันธมิตรที่พร้อมให้บริการ ด้วยประสบการณ์ในฐานะผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสายไฟฟ้าและสายเคเบิลชั้นนำ เรามุ่งมั่นส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพสูงสุด แต่ยังปลอดภัยสูงสุด ได้รับความไว้วางใจจากโครงการสำคัญทั้งหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนชั้นนำมากมายตลอดมา เลือก Fuhrer เพื่อวางรากฐานความปลอดภัยที่มั่นคงให้กับระบบไฟฟ้าของคุณ